เครื่องจับเท็จ-คดีดัง / ชกคาดเชือก – วงค์ ตาวัน (ฉบับประจำวันที่ 22-28 มกราคม 2564 ฉบับที่ 2110)

ชกคาดเชือก
วงค์ ตาวัน

เครื่องจับเท็จ-คดีดัง

คดีน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ ที่เป็นศพปริศนาเมื่อ 8 เดือนก่อน และชื่อของลุงพลซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิดได้กลายเป็นคดีดังและเป็นคนดัง ที่คนรู้จักและเฝ้าติดตามกันทั่วบ้านทั่วเมืองนับตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุใหม่ๆ จวบจนวันนี้
อีกทั้งเมื่อมีการสรุปผล แปลผล กระบวนการใช้เครื่องจับเท็จ ที่นำมาช่วยคลายคดีนี้ หากได้บทสรุปเสร็จสิ้นเมื่อไรก็คงเป็นเรื่องใหญ่อีก
โดยเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมามีการนำตัวบุคคลใกล้ชิดเด็กหญิงที่เสียชีวิต ทั้งคนในบ้านและญาติใกล้ชิดมาเข้ากระบวนการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ หนึ่งในนั้นมีลุงพลคนดังรวมอยู่ด้วย
**ผลออกมาเช่นไร และจะเป็นพยานหลักฐานประกอบที่นำไปสู่การตั้งข้อหากับใครหรือไม่ คงได้ฮือฮากันอีกแน่**
คดีนี้เกิดเหตุเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 เมื่อน้องชมพู่หายตัวไปจากบ้านในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ก่อนพบกลายเป็นศพในอีกวันถัดมาบนภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้าน 2 กิโลเมตร
ความที่เป็นแค่เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ต้องมาเสียชีวิตโดยปริศนา โดยศพอยู่ในสภาพเปลือย จึงเป็นคดีที่ทั้งสังคมจับตามอง
แต่ปัญหาของการสืบสวนสอบสวนก็คือ หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบท เมื่อไม่มีพยานบุคคลที่เห็นเหตุการณ์อะไรเลย ไม่เห็นว่าเด็กหายจากบ้านเช่นไร ไปกับใคร แล้วไปโผล่บนภูเขาที่ห่างไป 2 กิโลเมตรได้อย่างไร


*การใช้เทคโนโลยีก็ประสบปัญหา การเช็กสัญญาณโทรศัพท์มือถือเพื่อแกะรอยคนร้ายทำไม่ได้ ไม่มีกล้องวงจรปิดที่พอจะบันทึกภาพอะไรได้!*
จึงต้องจัดทีมตำรวจสืบสวนสอบสวนจากส่วนกลางไปช่วยทำคดี โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ซึ่งขณะนั้นเป็นรอง ผบ.ตร. เข้าไปควบคุมอำนวยการ
ต้องใช้วิธีเดียวที่ทำได้คือ ระดมสอบปากคำคนในหมู่บ้านทุกคน เพื่อหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด และหาพิรุธว่ามีใครที่ให้การอย่างน่าสงสัย
ระหว่างที่การสืบสวนสอบสวนเริ่มยืดเยื้อ การเสนอข่าวสารเริ่มแตกประเด็นไปเป็นเรื่องอื่นๆ
**แล้วลุงพล หรือนายไชย์พล วิภา ญาติสนิทของครอบครัวน้องชมพู่ก็ได้กลายเป็นคนดังไปทั่ว ด้วยบุคลิก หน้าตา การพูดจา ด้วยความที่เคยเข้ามาทำงานใน กทม.มาก่อน เลยทำให้มีความคล่องแคล่ว มีลูกเล่นมากลีลา**
ในขณะเดียวกัน การสอบพยานคนในหมู่บ้านเกือบ 400 ปาก ก็ทำให้ตำรวจได้ผู้ต้องสงสัยมากที่สุดอยู่ในสายตา
เพราะเป็นคนที่ให้การไม่ตรงข้อเท็จจริง พิสูจน์ได้ว่าจงใจปกปิดข้อเท็จจริงหลายประการ
แต่การจะตั้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีกับคดีที่มีคนสนใจติดตามเช่นนี้ จำเป็นจะต้องมีพยานหลักฐานที่มัดถึงขั้นตอนสำคัญคือ การนำตัวเด็กออกจากบ้าน การทำให้เด็กเสียชีวิต และการนำร่างไปทิ้งไว้บนภูเขา

หลังผ่านไป 5 เดือน เมื่อ พล.ต.อ.สุวัฒน์ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ต่อจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา มีการเปิดแถลงผลความคืบหน้าของคดีน้องชมพู่ เหมือนเป็นการประเดิมหน้าที่ของ ผบ.ตร.คนใหม่
แม้ว่าการแถลงวันนั้น ผู้คนไม่สะอกสะใจเพราะไม่ได้ชี้ว่าใครเป็นคนร้ายทำให้เด็กตาย แต่ก็เป็นการอธิบายกระบวนการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ให้เห็นว่าทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นวิทยาศาสตร์ จนสามารถสรุปผลได้ในระดับหนึ่ง
นั่นคือ น้องชมพู่ไม่มีทางเดินออกจากบ้านเองแล้วไปเสียชีวิตเองที่จุดพบศพ แต่ต้องมีคนที่รับเด็กออกจากบ้าน ซึ่งต้องเป็นคนคุ้นเคย เด็กพร้อมจะไปกับคนนี้เสมอๆ
จุดที่พบศพบนภูเขา ไม่มีทางที่เด็กจะเดินไปเอง เพราะเด็กไม่มีนิสัยออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนตามลำพัง ทั้งยังกลัวที่สูงและที่มืด
จนสรุปได้ว่า ต้องมีคนนำเด็กออกจากบ้าน แล้วต่อมาคนร้ายก็ต้องนำร่างไปทิ้งบนภูเขา และมีเจตนาถอดเสื้อผ้าเด็กออกเพื่อเบี่ยงเบนคดี
ขณะเดียวกัน เด็กคนนี้และครอบครัวไม่มีสาเหตุขัดแย้งอะไรกับใคร ไม่มีประเด็นเงินทอง จึงตัดประเด็นคนร้ายที่มาอุ้มเด็กไปเพื่อรีดค่าไถ่หรือเอาไปฆ่าล้างแค้นได้
ดังนั้น คนที่มีโอกาสจะเป็นผู้กระทำผิดมากสุด คือคนใกล้ชิดที่สามารถอุ้มเด็กออกไปได้โดยไม่มีการขัดขืน
**พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าวในการแถลงดังกล่าวว่า ขอให้คนร้ายที่ฟังอยู่ นอนเครียดต่อไป เพราะตำรวจยังไม่เลิกสืบสวน ไม่ว่าจะกินเวลานานเท่าไร ตำรวจไม่แขวนคดี ตอนนี้เราก็ทำอยู่ อาจจะมีเร็ว มีช้าบ้าง คดีมีอายุความถึง 20 ปี เราต้องสืบสวนให้เต็มที่**
แม้ว่าในการแถลงเมื่อเดือนตุลาคมนั้นจะไม่บ่งชี้ตัวคนร้าย แต่ในทางสืบสวนตำรวจมีบุคคลน่าสงสัยมากที่สุดอยู่แล้ว โดยเป็นคนใกล้ชิดและสาเหตุอาจจะเกิดอารมณ์หงุดหงิดโมโห จึงกระทำต่อเด็กโดยไม่ได้ตั้งใจฆ่า แต่เผลอพลั้งจนทำให้เด็กเสียชีวิต
การเสียชีวิตพิสูจน์ด้วยแพทย์นิติเวช ชัดเจนว่าตายเพราะขาดอาหารและน้ำ เป็นไปได้มากที่เด็กจะถูกนำไปปล่อยทิ้งในที่ที่เด็กกลัว แค่ระบายอารมณ์ แต่เกิดเดินพลัดหลงเพราะสภาพศพมีรอยช้ำที่เท้า น่าจะเกิดจากการเดินเป็นระยะทางไกลหรือเดินนานๆ จนคนก่อเหตุตามหาตัวไม่พบ
กระทั่งข้ามไปอีกวันจึงไปพบ แต่เด็กอาจจะเสียชีวิตแล้ว จึงตัดสินใจนำไปทิ้งบนภูเหล็กไฟ ถอดเสื้อผ้าเพื่ออำพรางให้เป็นคดีทางเพศ
ที่ตำรวจสรุปได้ในระดับหนึ่งคือ เป็นฝีมือคนใกล้ชิดที่ไม่ตั้งใจจะทำให้เด็กตาย โดยผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นคนขี้โมโหอารมณ์ร้าย และนิสัยพลิกพลิ้ว ไม่ยอมรับความผิดตรงไปตรงมา!

ผ่านไป 8 เดือน มีการนำตัวคนใกล้ชิดที่สามารถเข้าถึงเด็กได้โดยไม่ขัดขืนหลายรายมาเข้ากระบวนการเครื่องจับเท็จ และคดีก็กลับมาดังอีกครั้ง เมื่อถึงคิวลุงพลและนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ภรรยา
โดยผลสรุป การแปลผล และการวิเคราะห์ผล น่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
พล.ต.ต.สันติ์ สุขวัจน์ รอง ผบช.สพฐ. อธิบายว่า การเข้าเครื่องจับเท็จนั้น เป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานที่จะใช้ประกอบสำนวนคดีนี้ แต่ไม่ใช่การชี้ขาดว่าใครคือคนร้ายฆาตกรรมน้องชมพู่
**กระบวนการเข้าเครื่องจับเท็จที่ผ่านมา ตำรวจได้ใช้ประกอบสำนวนคดีสำคัญมาแล้วหลายคดี อย่างเช่น คดีเสริม สาครราษฎร์ ฆาตกรรมแฟนสาว และคดีหมอวิสุทธิ์ ฆาตกรรมแพทย์หญิงผัสพร โดยผลจากการเข้าเครื่องจับเท็จของทั้ง 2 คดี ที่มีการจับปฏิกิริยาของร่างกายในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทำการซักถาม เป็นหลักฐานส่วนหนึ่งที่ศาลรับฟัง จนนำไปสู่การพิจารณาคดี**
การทำงานของเครื่องจับเท็จ จะเริ่มจากการซักถามประวัติของบุคคล ก่อนจะอ่านคำถามในการเข้าเครื่องจับเท็จให้ฟัง หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ติดตั้งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เพื่อวัดคลื่นหัวใจและความดัน ขั้นตอนนี้ถ้าหากมีการโกหก แม้ร่างกายภายนอกจะดูปกติ แต่ปฏิกิริยาภายในจะแสดงมาในรูปแบบกราฟ
จากนั้นผู้เชี่ยวชาญก็จะนำกราฟวิเคราะห์ ก่อนสรุปผลส่งให้พนักงานสอบสวนภายใน 30 วัน เพื่อประกอบในสำนวนคดี ขอยืนยันว่า เครื่องจับเท็จที่นำมาใช้กับลุงพลและป้าแต๋นมีมาตรฐานสากล เพราะเป็นแบบเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาใช้
*เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ*
ระหว่างที่กำลังลุ้นผลการเข้าเครื่องจับเท็จ รวมทั้งอาจจะมีการแกะรอยพยานหลักฐานอื่นๆ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะไปถึงขั้นตั้งข้อหาใครได้เมื่อไร
**แต่ในระหว่างนั้นเอง ลุงพลที่เคยเป็นขวัญใจคนในสังคมกลับเกิดอาการเครียดจะสติแตก ทำร้ายนักข่าวรายหนึ่งอย่างไม่มีเหตุผล**
ไม่รู้ว่าเครียดเรื่องอะไรมากมาย และอารมณ์ที่แสดงออกรุนแรงอย่างเปิดเผยนี้
ทำให้เกิดมุมมองต่อลุงพลคนดังขึ้นมาอย่างมากมาย และเป็นข้อวิเคราะห์ต่อไปได้อีกอย่างน่าสนใจ!