ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มกราคม 2564 |
---|---|
เผยแพร่ |
การรุก ต่อเนื่อง จากหนีหวง (80)
การพบระหว่างหนีหวงจวิ้นจู่กับเหมยฉางซูภายหลังการจากไปของผู้อาวุโสโจวเซวียนซิง มีความหมายทั้งในเชิงยุทธวิธีและในเชิงยุทธศาสตร์
เพราะไม่เพียงเปิดนัยยะที่คนของพรรคบูรพานทีเข้าไปช่วยทัพแดนใต้
เนื่องจากคนผู้นั้นคือเนี่ยตั๋ว 1 ในขุนพลขบถของกองทัพอัคคีแดง หากยังเปิดนัยยะด้วยว่า ที่กองทัพอัคคีแดงพังพินาศเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เกิดจากการสมคบคิดของผู้ใด
เริ่มจากคำถาม “หรือท่านก็เชื่อว่ากองทัพอัคคีแดงก่อกบฏจริงๆ”
หนีหวงถอยเท้าก้าวหนึ่ง ไหล่บางสะท้านขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ทราบ ตอนนั้นข้ายังเล็ก ข้าเพียงทราบว่าหลายคนที่ข้ารู้จักนั้นไม่มีวันทรยศนายเหนือหัวของตัวเองเด็ดขาด
แต่ตอนนี้พูดไปจะมีประโยชน์อะไร
รัชทายาทกับอวี้หวังไม่มียอมให้มีการพลิกคดีกบฏอัคคีแดงขึ้นมาแน่นอน เพราะนี่คือผลงานชิ้นเอกซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขาที่สุด”
การยอมรับจากเหมยฉางซูต่างหากที่มีความแหลมคม
“ใช่ รัชทายาทและอวี้หวังไม่มีวันยอมให้เกิดการพลิกคดีขึ้นแน่นอน และก็ไม่มีใครคิดหวังอันใดจากพวกเขา เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้นมีเพียงหนทางสายเดียวให้เลือกเดิน”
ได้ยินคำของเหมยฉางซูเช่นนั้นเกิดปฏิกิริยาอย่างไร
ริมฝีปากแดงเรื่อของหนีหวงสั่นระริก สีหน้าจากซีดจางเปลี่ยนเป็นแดงซ่าน ม่านหมอกที่เคยสลัวรางไม่ชัดเจน พลันกอปรตัวเป็นรูปเป็นร่างกระจ่างตาราวกับมีชีวิต
“จิ้งหวัง ท่าน คนที่ท่านคิดสนับสนุนคือจิ้งหวัง”
เมื่อเผชิญหน้ากับความเงียบงันของเหมยฉางซู พริบตานั้นความว่างเปล่าพลันผุดขึ้นในห้วงสมองของหนีหวง แต่อย่างไรนางก็เป็นจอมทัพหญิงที่เคยเผชิญศึกมานับไม่ถ้วน
จึงเพียงสูดหายใจลึกหลายครั้งก่อนปรับอารมณ์เข้าสภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
“ท่านกล่าวถูกต้อง มีเพียงจิ้งหวังที่สามารถ แต่มันยากเย็นเกินไป ยากเย็นเกินไปจริงๆ หากพลั้งพลาดขึ้นมาเท่ากับย่างเท้าเข้าสู่แดนมรณะ ไม่มีวันหันกลับได้ตลอดกาล”
คำถามจากเหมยฉางซูคือ “ใครคิดจะหันกลับเล่า”
แม้จะยอมรับสถานะแท้จริงของเนี่ยตั๋วว่าเป็นใคร แม้จะยอมรับในความสัมพันธ์ในฐานะสหายศึกระหว่างเนี่ยตั๋วกับจางจวิ้นจู่ในกองทัพแดนใต้
แต่ปริศนาที่ค้างคาในใจของหนีหวงจวิ้นจู่ยังดำรงอยู่
“เนี่ยตั๋วแตกต่างกับท่าน เขาเป็นคนของกองทัพอัคคีแดงกระทำเพื่อลบล้างข้อครหาของตัวเอง ท่าน ท่านเป็นใครกัน ไฉนต้องเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเพื่อพลิกคดีให้กับกองทัพอัคคีแดงขนาดนี้”
เหมยฉางซูคิดไม่ถึงว่าหนีหวงจวิ้นจู่จะเป็นคนแรกที่ตั้งคำถาม
หว่างคิ้วเหมยฉางซูผุดแววอ่อนล้าคละเคล้าความเหนื่อยหน่าย ค่อยๆ เบือนศีรษะไปอีกทางหนึ่งคล้ายอยากหลบเลี่ยงการซักไซ้ ก่อนเอ่ยเพียงว่า
“คนในอดีตเช่นเดียวกับเนี่ยตั๋ว ล้วนเป็นคนในอดีตที่รอดพ้นจากเคราะห์กรรม”
ดวงตากระจ่างใสดั่งวารีของหนีหวงยังคงจับจ้องไปยังเหมยฉางซูพร้อมกับคำถามตามมา “หากเป็นคนในสังกัดกองทัพอัคคีแดง ไฉนข้าไม่รู้จักท่าน”
“กองทัพแดงมีบุรุษมากมาย ท่านไหนเลยจดจำได้หมด”
ยิ่งสนทนายิ่งลงลึก “แต่ตอนนี้ท่านเป็นประมุขพรรค แม้แต่เนี่ยตั๋วยังยินดีอยู่ใต้บัญชารับฟังคำสั่งท่าน หากกล่าวว่าตอนนั้นท่านเป็นเพียงชนชั้นไร้ชื่อเสียง ข้ากลับไม่เชื่อ”
“อาจเพราะเรื่องที่เรากระทำในตอนนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสนามรบกระมัง”
เหมยฉางซูผุดรอยยิ้มหยันตัวเองขึ้นที่มุมปาก “เนี่ยตั๋วไม่สันทัดกระทำเรื่องเหล่านี้ หนำซ้ำคนที่รู้จักเขาก็ไม่น้อย ยิ่งไม่สะดวก”
หนีหวงจ้องหน้าเหมยฉางซูเนิ่นนานพลันโพล่งถาม “ท่านรู้จักหลินซูห์หรือไม่”
ได้ยินคำถาม เหมยฉางซูหลุบตาต่ำ ในเมื่อเป็นคนในอดีตของกองทัพอัคคีแดง ไหนเลยไม่รู้จักหลินซูห์ ดังนั้น คำตอบที่ออกมาจากปากจึงมีเพียงหนึ่งเดียว
“รู้จัก”