ศึกนอกสภา-ในสภา ของ ‘3 ป.’ สะเทือนกองทัพ อ่านเกมการเมือง และเรื่องหัวใจของ ‘บิ๊กป้อม’ กับพรรคสำรอง / รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

ศึกนอกสภา-ในสภา ของ ‘3 ป.’
สะเทือนกองทัพ
อ่านเกมการเมือง
และเรื่องหัวใจของ ‘บิ๊กป้อม’
กับพรรคสำรอง

การเมืองท่ามกลางโควิดส่อเค้าเข้มข้นทั้งนอกสภาและในสภา เพราะโควิดและวัคซีนถูกดึงเป็นเรื่องการเมือง
ทั้งความเคลื่อนไหวของม็อบคณะราษฎรและเครือข่าย และผู้ที่ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ท่ามกลางการจับตามองว่า การนัดชุมนุมแบบเบิ้มๆ เช่นปลายปีที่แล้วจะมีขึ้นเมื่อใด และจะมีจำนวนผู้ชุมนุมมากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโควิด และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ห้ามการชุมนุมใดๆ ก็ตาม
โดยเฉพาะหลังจากที่บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งฟ้องร้องเอาผิดมาตรา 112 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า จากกรณีเรื่อง “วัคซีนพระราชทาน” ก็ถูกมองว่าการเมืองนอกสภา จะยิ่งแรงขึ้น
ส่วนในสภา ก็จะประเดิมด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 16-20 กุมภาพันธ์นี้ ที่แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเป้าหมายใหญ่
ที่จะมีการโจมตีเรื่องงบฯ การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของเหล่าทัพในปี 2565 ที่ ครม.อนุมัติวงเงิน 3.1 ล้านล้านบาทแล้ว
นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ไปรวบรวมโครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกชะลอมาตั้งแต่งบฯ ปี 2563, 2564 ที่คาดว่าจะมาเสนอขอในงบฯ ปี 2565 ที่กองทัพยังไม่ได้ตั้งเรื่องมา
ทั้งโครงการจัดซื้อ ฮ.โจมตี งบฯ 4,226 ล้านบาท
โครงการจัดหายานเกราะ Stryker งบฯ 1,026 ล้านบาท ซื้อเครื่องบินโดยสาร งบฯ 1,350 ล้านบาท ของ ทบ.
โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 จากประเทศจีน งบฯ 25,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำ งบฯ 950 ล้านบาท ที่เป็นเป้าใหญ่ของ ทร.
กองทัพอากาศ โครงการจัดซื้อเครื่องบินโจมตีเบา งบฯ 4,500 ล้านบาท โครงการพัฒนาการปฏิบัติการในห้วงอวกาศ งบฯ 1,470 ล้านบาท
ที่นายยุทธพงศ์สะกิด พล.อ.ประยุทธ์ ว่ายังไม่แสดงทีท่าว่าจะให้กองทัพชะลอโครงการออกไปอีกหรือไม่ ในช่วงที่ควรจะนำงบฯ ส่วนนี้ไปช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

แต่มีรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน บิ๊กช้าง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เรียกประชุมแต่ละเหล่าทัพ ให้นโยบายเรื่องการทำงบประมาณ 2565 เสนอมาแล้ว
โดยให้นโยบายว่า เสนอเฉพาะโครงการที่จำเป็นมาก่อน เพราะยังเป็นช่วงโควิด ที่ต้องใช้งบฯ จำนวนมากในการแก้ปัญหา
ในส่วนโครงการจัดซื้อ ฮ.โจมตี งบฯ 4,226 ล้านบาทของ ทบ.นั้น เป็นโครงการเดิมในปี 2564 ที่มีการปรับเปลี่ยนเป็นการจัดซื้อ Black Hawk รุ่น M 4 ลำ จากสหรัฐ
ส่วนโครงการจัดซื้อรถถัง VT 4 จากจีน งบฯ 1,672 ล้านบาท เป็นโครงการผูกพัน เฟส 3 และโครงการจัดหายานเกราะ Stryker งบฯ 1,026 ล้านบาท ที่เลื่อนมาจากปี 2564 ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง จ่ายงบฯ ผูกพัน ไม่ใช่โครงการใหม่
ส่วนการซื้อเครื่องบินโดยสารนั้นเป็นงบฯ ปี 2563 แต่ ทบ.ขอเลื่อนการจัดซื้อเมื่อปีที่แล้ว เพราะต้องการเปลี่ยนแบบ จากเครื่องบิน Gulfstream G500 ที่ถูกมองว่าหรูเกินไป จึงมาซื้อเครื่องบินโดยสารทางทหาร C 295 W งบฯ 1,350 ล้านบาท เพราะใช้ในการโดดร่มได้ด้วย มาทดแทนเครื่องบิน BeechCraft 1900YF ที่ใช้งานมาราว 30 ปี
ส่วนโครงการจัดซื้อเครื่องบินโจมตีเบา งบฯ 4,500 ล้านบาท นั้น คือเครื่องบิน AT-6 อีก 4 ลำ เพื่อจัดหาให้ครบฝูง จากที่ซื้อไปแล้ว 8 ลำ
ส่วนโครงการพัฒนาการปฏิบัติการในห้วงอวกาศ งบฯ 1,470 ล้านบาทนั้น คือดาวเทียมนภา 3-นภา 4 ที่อยู่ในแผนอวกาศของ ทอ. ที่ได้ยิง NAPA1 ไปแล้วเมื่อปลายปี 2563 และจะยิง NAPA2 ภายในกลางปีนี้
เป็นไปตามแผน ทอ. ตาม White paper จะต้องมีดาวเทียม 6 ดวง
ส่วนโครงการเรือดำน้ำของ ทร. จากจีน 2 ลำนั้น ได้ถูกเลื่อนมาจากงบฯ ปี 2563 และ 2564 แล้วถึง 2 ปี
ดังนั้น ในการตั้งงบประมาณ 2565 ทร.ก็จะต้องเสนอจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำกลับมาอีกครั้ง เพราะเราล่าช้ามา 2 ปี จากแผนที่เรือดำน้ำลำแรกจะต่อเสร็จในปี 2566
เรือดำน้ำลำที่ 2-3 จะตามมาในปี 2568 นั้น ก็จะเลื่อนออกไปเป็นหลังปี 2569 ที่จะทำให้เรือดำน้ำลำแรกแล่นแค่ลำเดียว ไม่มีอีก 2 ลำมาแบ่งหน้าที่ดูแลอ่าวไทย อันดามัน และสำหรับการฝึกและหมุนเวียน เมื่อต้องเข้ารับการซ่อมบำรุง
ส่วนท่าจอดเรือดำน้ำ จำเป็นต้องสร้าง ไม่เช่นนั้นจะเสร็จไม่ทันเรือดำน้ำลำแรกมาในปี 2566
จึงคาดกันว่าโครงการเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากการเมืองในยุคโควิดอีกครั้ง และต้องถูกชะลอออกไปอีก

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่า ฝ่ายค้านจะขออภิปรายครบทั้ง 3 ป.หรือไม่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์คือเป้าหมายใหญ่ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย
ส่วนบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และพี่ใหญ่ ที่แม้ว่าจะไม่ได้คุมตำรวจ และไม่ได้เป็น รมว.กลาโหมแล้วก็ตาม
ด้วยเพราะมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตรจะรอดการอภิปรายด้วยอภินิหารแห่งบารมีสายสัมพันธ์และกลยุทธ์พิเศษ
เพราะคราวก่อนก็รอด หรือแม้มีชื่อ แต่ก็ไม่โดนอภิปรายเพราะหมดเวลาก่อน
แม้ พล.อ.ประวิตรจะออกตัวว่าไม่ได้ไปล็อบบี้พูดคุยใดๆ กับฝ่ายค้าน แต่ยอมรับว่ามีพันธมิตรอยู่ในฝ่ายค้าน ด้วยการระบุว่า “ก็รู้จักกันหมดแหละ”
แต่ก็มีข่าวสะพัดว่า บรรดาน้องเลิฟในสายนักการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ช่วยกันเต็มที่ ไม่ว่าด้วยวิธีใด ที่จะทำให้ พล.อ.ประวิตรรอดพ้นการถูกอภิปราย
เพราะร่ำลือกันว่า ทั้งนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล แกนนำ ส.ส.พปชร. และผู้กองธรรมนัส ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีบทบาทไม่น้อย
ไม่แค่นั้น ยังมีข่าวสะพัดในระดับท้องถิ่นถึงความใจดีของ พล.อ.ประวิตรที่เปิดเสรีในเรื่องงบประมาณในพื้นที่ ไม่ใช่ว่าให้แต่ฝั่งสนับสนุน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล แต่ให้โอกาสอีกฝั่งหนึ่งได้โครงการต่างๆ ด้วย โดยยึดระเบียบการประมูล
จนทำให้เครือญาติ หรือผองเพื่อน หรือแนวร่วมฝ่ายค้านก็ประมูลได้งานโครงการของหน่วยงานรัฐ และ อปท. หรือ กอ.รมน. เช่น โครงการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ 45 ล้าน ที่อมก๋อย จ.เชียงใหม่

ที่สำคัญ มีการมองว่า พล.อ.ประวิตรเคยสนิทสนมกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะมีส่วนทำให้ไม่โดนพรรคเพื่อไทยล็อกเป้าก็ตาม
ในแวดวงคนใกล้ตัวรู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณหญิงอ้อ-พจมาน ดามาพงศ์ แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้ามายาวนาน และช่วยดูแลให้แคล้วคลาดในหลายเรื่อง
อีกทั้งในระยะหลังๆ มานี้ คุณหญิงพจมานก็เข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการพรรคเพื่อไทยมากขึ้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก หาก พล.อ.ประวิตรจะรอดการอภิปราย
ตัว พล.อ.ประวิตรออกตัวไว้ก่อนแล้วว่า ผมทำอะไรผิด ถึงจะโดนฝ่ายค้านอภิปราย เพราะผมได้คุมอะไรที่ไหนไหมล่ะ
กล่าวกันว่า ชั้นเชิงทางการเมืองของ พล.อ.ประวิตรนั้นไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อยู่ยงคงกระพันมาได้จนทุกวันนี้ แถมนั่งเป็นหัวหน้าพรรค พปชร.ด้วยตนเอง
ยิ่งในรัฐบาลพรรคร่วมหลายพรรคเช่นนี้ พล.อ.ประวิตรก็จะดึงดูดทุกพรรคไว้ให้ได้นานที่สุด ไม่ให้เกิดปัญหาในพรรคร่วมกันเอง รวมทั้งในพรรคพลังประชารัฐ
แม้ว่าตอนนี้เริ่มมีรอยร้าวในใจเล็กๆ ระหว่างหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข กับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ หลังจากที่แกนนำพรรค ปชป.ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นายอนุทินมาเป็นระยะๆ ก็ตาม แต่ก็ยังไม่ลุกลามบานปลาย
รู้กันดีว่า พล.อ.ประวิตรนั้นมีพันธมิตรอยู่ในหลายพรรคการเมือง จึงทำให้เกิดตำนานงูเห่าที่ฝากเลี้ยงไว้ในพรรคอื่น ไม่ได้ดูดมาอยู่ พปชร.หมด และยังทำให้การเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำลอยลำต่อไปได้

กล่าวกันว่า การมี พล.อ.ประวิตรเป็นพี่ใหญ่ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์มีวันนี้ และทำให้รัฐบาลยังคงไปต่อได้
ทั้งนี้เพราะความที่เป็นพี่ชายคนโต ที่ต้องช่วยคุณแม่ดูแลน้องๆ อีก 4 คนหลังบิดาเสียชีวิต จึงทำให้ พล.อ.ประวิตรมีคุณสมบัติของความเป็นพี่ใหญ่
โดยเฉพาะเมื่อมาเป็นพี่ใหญ่ในกองทัพ ตั้งแต่เป็นแกนนำในหมู่เพื่อน ตั้งแต่เรียนเซนต์คาเบรียล มาจนเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร และจนรับราชการทหาร ก็ต้องดูแลทั้งเพื่อนและน้อง
ในบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 6 และ จปร.17 ของ พล.อ.ประวิตร รู้กันดีถึงความใจใหญ่ ใจนักเลงของ “ป้อม” จนทำให้ได้เป็นประธานรุ่น จปร.17 ตลอดกาล
ด้วยคุณแม่สายสนีมีความเข้มงวดอย่างมาก และบิดาก็เป็นนายทหาร จึงทำให้ พล.อ.ประวิตรกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว
ด้วยกฎเหล็กของคุณแม่นี่เอง ที่เป็นมูลเหตุที่สร้างความเป็นพี่ใหญ่ในตัว พล.อ.ประวิตร เพราะห้ามไม่ให้ไปนอนค้างที่อื่น หรือบ้านเพื่อน จะอย่างไรเสีย ก็ต้องกลับมานอนบ้าน อนุญาตให้พาเพื่อนมานอนบ้านได้ โดยที่คุณแม่ดูแลอาหารการกินให้ตลอด
คุณแม่ของ พล.อ.ประวิตรจึงกลายเป็นคุณแม่ของเพื่อนๆ ตท.6 ไปด้วย
จนเมื่อ พล.อ.ประวิตรรับราชการทหาร ทั้งที่ ร.2 รอ. ปราจีนบุรี และ ร.21 รอ. ชลบุรี ทำให้ต้องอยู่บ้านพักทหาร แต่ก็ต้องกลับบ้านทุกสัปดาห์
บ้านพักในค่ายทหารของ พล.อ.ประวิตร จึงกลายเป็นที่รวมพลของทั้งเพื่อนและน้อง
จนเป็นที่รู้กันดีว่า เป็นจุดเริ่มต้นของแผงอำนาจ 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” ที่มากินนอนอยู่บ้านพักของ ร.อ.ประวิตรเมื่อครั้งเป็น ผบ.ร้อย ใน ร.21 รอ. ที่ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นลึกซึ้ง
โดยที่เพื่อนๆ จปร.17 ขนานนามคุณสมบัติให้ พล.อ.ประวิตร ว่า “เก่ง ดี มีเมตตา”
และยกย่องคุณแม่ให้เป็น “แม่นักสู้ แม่ผู้สร้าง” ที่สู้ชีวิตเลี้ยงลูก 5 คนจนเติบใหญ่ ประสบความสำเร็จในการงานทุกคน โดยเฉพาะพี่ใหญ่อย่าง พล.อ.ประวิตรที่กลายเป็นคีย์แมนหลักของรัฐบาล

เป็นที่รู้กันว่า พล.อ.ประวิตรรักคุณแม่มาก จนไม่ยอมแต่งงาน เพราะดูแลแม่ และครองโสดตลอดมา แต่บ้างก็ว่า เพราะคุณแม่ดุมาก การหาลูกสะใภ้ที่ถูกใจอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
ตั้งแต่คุณแม่เสียชีวิตเมื่อ 10 กันยายน 2563 และพระราชทานเพลิงศพเมื่อ 20 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตรไว้ทุกข์แต่งดำตลอด 100 วัน และทำพิธีสวดทุกเย็นวันอังคารที่เป็นวันประชุม ครม. ที่จะมีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก ที่สำคัญคือ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาทุกครั้งไม่เคยขาด เพราะพี่น้อง 2 ป. ก็สนิทสนมกับคุณแม่ของ พล.อ.ประวิตรอย่างมาก
ท่ามกลางการจับตามองว่า เมื่อไม่มีคุณแม่แล้ว พล.อ.ประวิตรจะครองสถานภาพโสดต่อไปหรือไม่ ในวัย 76 ปีแล้ว
เพราะเป็นที่รู้กันว่า พล.อ.ประวิตรก็มีคนรู้ใจที่ดูแลกันมายาวนานนับสิบปี และเป็นที่รับรู้กันเป็นการภายใน
จนเคยทำให้ฝ่ายหญิงตกเป็นเป้าทางการเมืองไปด้วย แต่เธอก็สตรอง ตั้งหน้าตั้งตาทำงานในหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เพราะเป็นผู้หญิงเก่งอยู่แล้ว
แต่กระแสข่าวลือก็สะพัดออกมาให้คนต้องอิจฉา หลังจากที่มีภาพสตรีผู้รู้ใจของ พล.อ.ประวิตร ที่อายุห่างกันราว 30 ปี คนเดิมคนเดียวคนนี้ ปรากฏในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพคุณแม่ของ พล.อ.ประวิตร
โดยเป็นภาพหมู่ ครอบครัววงษ์สุวรรณ ที่สตรีคนสำคัญนั่งข้าง พล.อ.ประวิตรและน้องชายอีก 3 คน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์น่าแปลกประหลาดใจใดๆ เพราะก็เป็นคนที่รับรู้กันมายาวนานอยู่แล้ว แต่ก็ทำให้เกิดข่าวลือตามมาว่า พล.อ.ประวิตรจะแต่งงาน เพราะภาพนี้เสมือนเป็นการประกาศอย่างไม่เป็นทางการถึงสถานภาพของสตรีผู้นี้
ทั้งนี้เพราะทุกภาพที่จะลงในหนังสืองานพระราชทานเพลิงศพของคุณแม่นั้นต้องผ่านการตรวจสอบของทีมงาน ที่นำโดย พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกลาโหม ก่อนทุกภาพ
ที่สำคัญคือ ต้องผ่านการอนุมัติของ พล.อ.ประวิตรทุกภาพ ภาพนี้จึงไม่ใช่ภาพหลุด เพราะมีทั้งภาพขนาดเล็กภายในเล่มแล้ว ยังเป็นภาพใหญ่ปกหลังในที่ชัดเจน
อีกทั้งในงานศพ หวานใจของ พล.อ.ประวิตรก็มาร่วมงานทุกวัน แต่จะนั่งเก้าอี้แถวหลัง

“ไม่มี คิดกันไปเอง” พล.อ.ประวิตรปฏิเสธกระแสข่าวลือที่ว่าจะแต่งงานกับคนใกล้ชิด
ขณะที่นายทหารที่ใกล้ชิดก็ยืนยันว่าไม่มีแผนแต่งงาน เพราะโดยวัยแล้ว ก็คงจะอยู่ดูแลกันไป เช่นที่เคยเป็นมานับสิบปี
แต่หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพมารดาแล้วไปลอยอังคารที่ปากแม่น้ำ ที่หน้าวัดอโศการาม บางปู เสร็จสิ้นแล้ว
พล.อ.ประวิตรก็ออกทุกข์ กลับมาใส่เสื้อสีสันในวันอังคารประชุม ครม. และเมื่อสวมสูท ก็จะผูกเน็กไทสีสันที่ทำให้ดูสดใสขึ้น รวมทั้งสวมแมสก์ผ้าสีโทนเดียวกับเน็กไทและเสื้อ
แม้ขาจะไม่ค่อยแข็งแรง แต่หัวใจของ พล.อ.ประวิตรชุ่มชื่น แถมดูหนุ่มขึ้น เพราะย้อมผมดำ และผมยาวขึ้น หวีผมเรียบแปล้
นี่กระมังจึงทำให้เกิดข่าวลือว่าจะแต่งงาน

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรก็รู้ว่าเกิดข่าวลือ แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะแก้ข่าวใดๆ นอกจากบอกต่อกันภายในว่า ไม่จริง
เพราะในเวลานี้ พล.อ.ประวิตรมีภารกิจสำคัญในทางการเมืองที่จะต้องช่วย พล.อ.ประยุทธ์นำพารัฐบาลฝ่ามรสุมการเมืองให้ตลอดรอดฝั่ง
ไม่ใช่แค่ในเทอมนี้ของรัฐบาล แต่มองไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าด้วย เพราะรู้กันดีว่า เป้าหมายของ พล.อ.ประยุทธ์คือการเป็นนายกฯ 2 สมัย ไม่นับรวม 5 ปี ที่เป็นนายกฯ ในยุค คสช.
จึงไม่แปลกที่จะมีกระแสข่าวการตั้งพรรคสำรองของพี่น้อง 3 ป. นอกเหนือจากพรรคพลังประชารัฐ ที่ พล.อ.ประวิตรนั่งคุมในฐานะหัวหน้าพรรคอยู่
ทั้งข่าวที่ว่า พล.อ.อนุพงษ์มอบให้ปลัดฉิ่ง นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดมหาดไทย มือขวา เตรียมการตั้งพรรคใหม่ เพราะเป็นคนกว้างขวาง รู้จักนักการเมืองหลายพรรค โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายฉัตรชัยได้เคยปฏิเสธแล้วว่าไม่เคยมีใครมาสั่งให้ตั้งพรรค
หรือแม้แต่การดึงคุณหญิงหน่อย สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มาเข้าพรรค พปชร. รวมทั้งการตั้งพรรคการเมืองใหม่ ร่วมกับทหารสาย 3 ป.
โดยมีชื่อบิ๊กกี่ พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิกวุฒิสภา เพื่อนซี้ ตท.6 ของ พล.อ.ประวิตรเป็นตัวประสาน ด้วยเพราะมีความรู้จักสนิทสนมกันมานาน ตั้งแต่ พล.อ.นพดล และ พล.อ.ประวิตร เป็นพันเอก

แต่คราวนี้ คุณหญิงสุดารัตน์ออกมาปฏิเสธข่าว โดยยืนยันว่าจุดยืนตรงข้ามเผด็จการมาโดยตลอด ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
“ไม่มีวันก้มหัวให้เผด็จการ และไม่มีวันที่จะยอมเป็นบันไดให้เผด็จการเหยียบยืนขึ้นไปเพื่อสืบอำนาจอย่างเด็ดขาด” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ
ขณะที่ พล.อ.นพดลก็ยืนยันว่า ไม่เคยทาบทามหรือคุยเรื่องตั้งพรรคกับคุณหญิงสุดารัตน์ แม้ว่าจะรู้จักกันมานานก็ตาม
“มีการปล่อยข่าว เพราะจะโยงผมไปถึงป้อม เพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ผมไม่เคยไปยุ่งเรื่องพรรคพลังประชารัฐ พรรคอยู่ตรงไหน ผมยังไม่รู้เลย มีคนมาปล่อยข่าวว่าผมคุมเงินพรรค ไม่จริง ผมแค่เป็นกำลังใจให้ป้อมในการทำงานเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงขั้นจะตั้งพรรค เพราะผมไม่ใช่คนสนใจการเมืองขนาดนั้น” พล.อ.นพดลระบุ
แต่รู้กันดีว่า ที่ผ่านมา พล.อ.นพดลก็ช่วยเดินเกมการเมืองให้ พล.อ.ประวิตรมาตลอด ด้วยเพราะเป็นคนกว้างขวาง มากมิตรในหลายวงการ
ในขณะที่ พล.อ.ประวิตรก็ปฏิเสธข่าวว่าไม่เคยมอบให้ พล.อ.นพดลไปตั้งพรรค หรือทาบทามคุณหญิงสุดารัตน์ “ไม่มี ไม่จริง”
แม้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตรเคยยอมรับว่ารู้จักคุณหญิงสุดารัตน์มานาน เพราะ พล.อ.นพดลแนะนำ แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไร
แต่พี่น้อง 3 ป.ก็ยังคงถูกจับตามองว่า จะมีพรรคสำรองไว้อีกอย่างน้อย 1 พรรคแน่นอน
เพราะเมื่อปักธงบนถนนสายการเมืองสายนี้แล้ว พี่น้อง 3 ป.ก็ต้องไปให้สุด และราบรื่น ราบเรียบที่สุด เพื่อครองอำนาจรัฐ สกัดกั้นอีกฝ่ายให้ได้นานที่สุด