การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ‘แม้แต่ลมหนาวสายหนึ่ง ก็บาดล้ำลึกเกินกว่า’

ฉันพบกับชื่นใจครั้งสุดท้าย เมื่อไหร่กันนะ

วันนั้นสินะ ที่ฉันเขียนบทกวีได้ตั้งหลายบท

ยังคิดว่ามีแสงตะวัน

ประกายอันอาบอุ่นไอ

ยามที่ฉันจากไป

มุ่งสู่เส้นขอบฟ้า

“พี่”

“ชื่นใจ!”

เธอยืนอยู่ข้างหลัง ยามที่ฉันเหลียวไป หัวสูงสักไหล่ของฉัน เธอสูงขึ้นน้อยกว่าที่คิดเอาไว้ เหมือนร่างกายไม่อาจเจริญเติบโตมากไปกว่านั้น แต่ตากลมคู่นั้น ผมม้าที่แหวกข้างหนึ่งทัดหู ปากที่คลี่ยิ้มออกมา

“ฉันคิดถึงเธอจังเลย”

อย่างรวดเร็วที่ร่างอุ่นผ่าวพุ่งเข้ามา แล้วอ้อมแขนหนึ่งก็รัดฉันเอาไว้

“…ปล่อยก่อน”

ฉันผลักแขนออกไป

“…เธอไม่ดีใจที่ได้เจอฉันหรือ เธออยู่แถวนี้หรือจ๊ะ…หรือว่ากำลังจะไปไหน”

“…เธอล่ะ มาทำอะไรแถวนี้”

คำพูดของฉันคงแห้งแล้งสิ้นดี

“ฉันมาซื้อข้าวมันไก่ให้เจ้านาย”

“…เจ้านายที่ไหน…เธอไม่ได้เรียนต่อหรอกหรือ”

“ไม่ได้เรียนหรอก ออกมาทำงานตั้งนานแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ที่…”

“อยู่นานหรือยัง”

“ไม่นานจ้ะ ที่นี่เพิ่งมาทำ เจ้านายฉันท่านก็ใช้ได้อยู่นะ เงินเดือนไม่มาก แต่ก็พอส่งให้แม่ได้…เธอล่ะจ๊ะ พี่ ตอนนี้เธอทำอะไร เธอพักอยู่แถวไหน”

“…ฉันสบายดี” ฉันพูดออกไปอย่างนั้นพร้อมรอยยิ้ม

ฉันพยายามยิ้มแล้วนะ ชื่นใจ

“…กำลังจะไปทำงานที่ใหม่พอดีน่ะ”

“หรือจ๊ะ เธอจะไปทำทางไหน ยังไง”

“ที่เขาจะจ้าง อยู่ทางสันกำแพง ก็…หวังว่าจะเข้าทีล่ะ”

“ดีจัง”

ชื่นใจเปิดยิ้มให้ฉัน รอยยิ้มของเธอยังคงสะอาดแจ่มใส มือเล็กคว้ามือฉันไปกุมอีกหน

วันนั้นเธอแต่งตัวสะอาดสะอ้านไม่น้อย รองเท้าหุ้มส้น กางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีขาวมีลวดลายดอกไม้สีชมพู

“ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอเธอ…ฉันดีใจที่สุดเลยนะพี่…ดีใจมากๆ”

“…ฉันก็ดีใจ”

“เธอให้ที่อยู่ฉันไว้ได้มั้ย…เราจะหาสมุดที่ไหนมาจดดีล่ะ!”

“เอาไว้…ฉันค่อยไปหาเธอวันหลังก็ได้”

“เธอต้องไปจริงๆ นะ…หรือว่าจะให้ฉันไปหาเธอ…เธอจะไปอยู่ที่ไหนนะ”

“ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะได้พักตรงไหน”

“มันเป็นงานอะไรแน่จ๊ะ…แล้วเธอได้กลับบ้านบ้างหรือเปล่า”

แต่แล้ว…ฉันก็ทิ้งชื่นใจไว้ข้างหลัง ก้าวขึ้นรถสี่ล้อแดงที่มาจอดเทียบ ใช่ ฉันโบกเรียกเอง และรีบร้อนจะจากไปโดยไม่กล่าวแม้แต่คำลา

มีแต่บทกวีพวกนั้น ที่อยู่ในหัวของฉันตลอดทางที่ไกลออกมา

สิ่งใดอยู่กับฉัน

อะไรกันรอเบื้องหน้า

กระจัดกระจายพรายพร่า

กี่เสี้ยวที่บาดคม

โชคชะตาถีบฉัน

ดั่งจะกลั่นแกล้งให้สาสม

ใบไม้ร่วงในสายลม

ฉันแค่แตกสลาย

 

แล้วฉันก็ไปเขียนบันทึกว่า

[…ฤดูแล้ง

พวกเรายืนในไร่กระเจี๊ยบที่กำลังสุกสีแดงเต็มต้น

เบื้องหลังคือภูเขาสูง ซึ่งต้นไม้สลัดร่วงตามลมผล็อยๆ กลิ่นหอมของฤดูแล้งล่องลอยมา แดดสายเริ่มส่องแรงขึ้น ตะวันโคจรสูง ท้องฟ้ากว้างสีครามโปร่ง มีก้อนเมฆขาวสะอาดล่องลอยอยู่ทั่วไป

ถัดจากไร่กระเจี๊ยบคือทุ่งกว้าง ข้าวถูกเก็บเกี่ยวไปหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่ตอเฟืองสีเหลืองแห้งโล่งเกรียนสุดหูตา ทิศใต้และทิศเหนือจรดภูเขาซึ่งสูงต่ำสลับซับซ้อน ระยิบด้วยเปลวแดดหม่นไกลๆ ส่วนทิศตะวันออกติดกับแนวไม้ บังหลังคาหมู่บ้านเงียบสงบ

ฉันและเพื่อนๆ ทุกคนสวมหมวกปีกกว้าง โยงเชือกเส้นเล็กผูกหลวมใต้คาง กันลมพัดหมวกปลิว เรามีมีดด้ามเล็กๆ กับตะกร้าคนละใบ ยืนเรียงตามต้นกระเจี๊ยบ บรรจงตัดลูกสีแดงจัดนั้นออกจากก้าน โยนลงในตะกร้า

ลูกแล้ว ลูกเล่า…ตะกร้าแล้ว ตะกร้าเล่า…

ในจำนวนคนที่ตัดกระเจี๊ยบนั้น ส่วนมากเป็นเด็กที่ยังเรียนอยู่ชั้นประถม และต้องการหารายได้พิเศษในวันเสาร์-อาทิตย์ มีเพียงฉันกับ “เธอ” เท่านั้นที่โตกว่าเพื่อน และเราก็อยากใช้เวลาว่างหลังฤดูเก็บเกี่ยวให้เป็นประโยชน์ แทนการอยู่บ้านเฉยๆ

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เราเพิ่งกลับมาจากที่อื่น ยังไม่ต้องการออกจากหมู่บ้านไปตอนนี้ ทั้งยังแอบหวังเงียบๆ ว่า บางที อาจเป็นโอกาสให้เราไม่ต้องเร่ร่อนไปไหน เราอยากอยู่ใกล้ๆ ครอบครัว พ่อ-แม่ พี่-น้อง ผู้คนที่เรารัก นานๆ…สักครั้ง แม้ว่าค่าแรงตัดกระเจี๊ยบจะไม่ถึง 20 บาทต่อวันก็ตามที

บรรยากาศในทุ่งมีชีวิตชีวาขึ้นอักโข เมื่ออาชิงร้องเพลงเสียงแจ๋ว ฉันสบตา “เธอ” อีกหน รู้ว่าเธอเองคงคิดเช่นเดียวกัน โอ้เด็กๆ ในทุ่งกว้าง มาทำงานเพื่อแลกเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปช่วยเหลือครอบครัว ต้องเรียนรู้จักชีวิตแต่เยาว์วัย แดดร้อน ลมแรง แต่ดวงตาดำขลับบนใบหน้ามอมฝุ่น…ยังใฝ่ฝันถึงสิ่งต่างๆ มากมี

ฉันอยากมีเงินมากๆ อยากจัดงานเลี้ยงให้พวกเธอ อยากให้เธอได้ดื่มกิน หัวเราะ มีความสุข เหมือนเด็กๆ ที่อยู่ในบ้านหลังใหญ่ และในที่อื่นๆ…

 

จนกระทั่งยามเย็นมาถึง แดดสีเหลืองอาบท้องทุ่งเหงาๆ ขอบฟ้าทางทิศตะวันตก มีนกบินกลับรังเป็นหมู่ เสียงร้องเพลงของเด็กๆ ยังดังประสานกันไม่รู้จบ ขณะหิ้วตะกร้าว่างเปล่า เดินตามถนนทรายสายเล็กที่ทอดสู่หมู่บ้าน

“เธอ” เดินเคียงข้างฉัน เรากอดคอเด็กๆ ไว้ ตะวันคล้อยต่ำลงลับภูเขา ชาวนาชาวไร่ก็กลับบ้านเช่นเดียวกัน ดอกหญ้าสีน้ำตาลทักทายเราในสายลมยามค่ำ ขณะนั้นเอง…ความรู้สึกหนึ่งก็ผ่านเข้ามา…เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์ เด็กๆ ทุกคนต้องไปโรงเรียน…]

ฉันเขียนบันทึกจากความรู้สึกจริงทุกถ้อยบรรทัด และทุกคนก็มีตัวตนจริงในนั้น ยกเว้นแต่เพียง “เธอ” ฉันเพียงเฝ้าแต่สมมุติภาพเธอ ว่ายังคงอยู่เคียงข้างฉัน ช่วงเวลาใดก็ตาม ไม่ว่าจะยามกลับมายังหมู่บ้านเกิด หรืออยู่แสนไกล ฉันยังเฝ้าจดจำในความผูกพัน…ใช่ ฉันยังคงเฝ้าแต่จดจำ

และทำให้ฉันเขียนบทกวีในหัวต่อไป

…วันนี้มีสายลมพัดค่อนข้างแรง

เย็นลงทุกทีท้องฟ้ามีสีแดง…ก่ำ

คงจะดีถ้าเราลบได้ทุกความทรงจำ

และดำเนินชีวิตโดยปราศจากหัวใจ

ถนนข้างหน้าเหยียดยาว

ฉันไม่อยากหวังแล้วถึงดวงดาวดวงไหน

แค่เพียงจะหาทางไป

ในยามแตกสลาย…

 

30 ธันวาคม

เพื่อนรัก

เธอเป็นไงมั่งนะ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ฉันยังคงคิดถึงเธอตลอดเวลา

วันนั้น…ฉันมีความสุขมาก ตอนที่เราได้พบกัน แสงอาทิตย์วันนั้น สวยที่สุด ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นคือความมืด และการจากกัน

ฉันกลับบ้าน ถามข่าวคราวของเธอกับพ่อแม่ของเธอ

ทุกคนก็บอกฉันเหมือนเดิมเสมอ เธอยังไม่ได้กลับมา

ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนยังไง ขอให้เธอเข้มแข็งด้วยนะ

 

ชื่นใจของเธอ

หรือเป็นเพราะหัวใจเราเปราะบาง

จึงซึมซับทุกอย่าง อย่างช่างฝัน

เพียงสุขทุกข์วนว่ายเท่าใดนั้น

เรายังมีกันและกัน จึงมั่นใจ

มีสมุดเล่มน้อยคอยเป็นเพื่อน

มีดอกหญ้าคอยเตือนอย่าหวั่นไหว

ใช้ชีวิตเช่นกอหญ้าจะเป็นไร

แดดจะไล้ ฝนกระหน่ำ ก็ยืนยง

คนสองคนร่วมวันอันปวดร้าว

แต่ยังฝันถึงดาวที่สูงส่ง

กี่คืนวันดวงตาล้ามืดลง

ใจยังคงสุกสกาวดั่งดาวไกล

เพื่อนรัก

แต่วันนี้ฟ้ามืดนัก เพื่อนอยู่ไหน

โลกแสนกว้าง ทางเราก้าว ยาวเกินไป

ฉัน,

(บทกวีที่ยังจบไม่ลง

มันคงเหมือนชีวิตฉันที่ปราศจากจุดสิ้นสุดในเวลานี้)

 

บนใบตองกล้วย สมุดกระดาษยังกลาดเกลื่อน เหมือนเธอกับฉันชะลอคืนวันทั้งหมดมาบรรจุไว้ในสมุดเล่มเล็กเล่มน้อย ที่เฝ้าคอยเขียนถึงกัน

เธอเขียนถึงฉัน ฉันเขียนถึงเธอ เราต่างพบเจอกันในอากาศที่ปราศจากการรับรู้ของกันและกัน มันช่างเป็นความสัมพันธ์ที่เปราะบาง สั่นไหว ไร้คำมั่นสัญญา ทว่ายิ่งกว่าตราประทับร้อนที่กดลงแนบเนื้อใจ

ฉันผูกพันกับเธอทำไมมากขนาดนี้ หรือเพราะสิ่งที่เราต่างเคยมีส่วนร่วมในกันและกัน เคยผ่านมันมาด้วยกัน คือการเป็นคนจน คนด้อยโอกาส

พวกคนที่แม้แต่ลมหนาวสายหนึ่งก็บาดล้ำลึกเกินกว่าคนมีผ้าห่มหนาๆ หรืออยู่ในบ้านสวยๆ แข็งแรงอบอุ่นจะเข้าใจ