อาณาจักรใจ/การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์/ทวีปที่สาบสูญ เนื้อความที่พยายามสะกดแปลอ่านนั้น

อาณาจักรใจ/การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ [email protected]

ทวีปที่สาบสูญ

เนื้อความที่พยายามสะกดแปลอ่านนั้น

 

ดอกรักเร่สั่นไหวอยู่เบาๆ ด้วยแรงจากมือยื่นเข้าโน้มก้าน ชื่นใจชะโงกหน้าเข้าดม

“ไม่เห็นหอมเลย” ว่าแล้วก็ย่นจมูก หัวเราะเสียงใส

ฉันอดขันตามไม่ได้ แต่ก็นั่นเอง ที่แทรกขึ้นมารวดเร็วกว่าคือมวลความเศร้าอันไร้ที่มา หรือบางที…มันอาจจะมาจากที่ที่ฉันเองก็รู้

แค่ไม่อยากจะยอมรับมัน

“ลองดมนั่นด้วยสิ” ชี้ไปยังต้นเทียนหยดดอกสีม่วง

“ไม่ละ” ชื่นใจส่ายหน้า “รู้แล้วว่ามันไม่หอม”

“หอมนะ” ฉันว่า “แค่ฉุนๆ จางๆ อย่างใบไม้น่ะ”

“เธอนี่เหมือนเดิมเลยเนาะ” ชื่นใจมองหน้าฉัน

“ยังไง”

“ก็มีรายละเอียดเยอะไปหมด”

“จริงน่ะ?” ฉันอดแปลกใจไม่ได้ จำไม่ได้เลยว่าตอนเรายังเด็ก ฉันทำอะไรให้ชื่นใจคิดอย่างนี้

“ฉันรู้แหละว่าเธอน่ะช่างสังเกต ช่างจำ” ทำไมชื่นใจถึงมีรอยยิ้มอยู่ในตามากมายเหลือล้นขนาดนั้น นั่นคือสิ่งที่หัวฉันกำลังคิด

“ยังจำวันที่เจอเธอหนแรกได้อยู่เลย”

“อ้าว” ฉันออกเสียง “ใครกันแน่ล่ะช่างจำ”

“เธอจำได้หรือเปล่าเล้า” ชื่นใจลากเสียง จ้องเข้ามาในดวงตาของฉันอีก

 

ฉันยืนอยู่ใต้ต้นหางนกยูง แหงนขึ้นดูช่อสีส้มที่ยังอวดกลีบหลงเหลือตัดกับฟ้าสีน้ำเงินเข้มข้น ใกล้นั้นเป็นบึงบัว สีชมพูและเขียวแผ่กระจายคล้ายภาพวาด น้ำกระเพื่อมนิดๆ เมื่อลมผ่าน ความใสของน้ำสะท้อนฟ้าลงมาอีกที

‘สวยจังเลยนะ’

มีคำพูดดังขึ้นข้างหลัง เมื่อหันไปก็เจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

‘อะไร ดอกไม้หรือ’

‘ฮื่อ’

เด็กหญิงพยักหน้า เธอยิ้มเห็นเขี้ยวซี่เล็กๆ กับรอยบุ๋มบนแก้ม

‘เดี๋ยวก็หมดดอกแล้ว’ ฉันพูด ‘อีกไม่นานจะมีฝักเต็มเลย กินได้ด้วยแหละ เคยกินหรือเปล่า’

‘ไม่เคย’

‘อร่อย’

ฉันเดินออกไปสองสามก้าว ก้มเก็บฝักแห้งสีน้ำตาลบนพื้น หยิบขึ้นมาปัดฝุ่น หักข้อคอดออกจากกัน ภายในมีใยเหนียวๆ ฉันใช้ปลายนิ้วสะกิดม้วนแล้วยื่นให้

‘กินได้จริงเหรอ’

‘ได้ ไม่ตายหรอก’ ฉันเลียให้ดูหน่อยหนึ่ง

เด็กหญิงขยับตัวเข้ามา

เธอหลับตาลงเมื่อฉันส่งปลายนิ้วให้ ลิ้นเล็กๆ ยื่นออกมาแตะรวดเร็ว ทำหน้าตื่นเต้น ตาหยีกว่าเดิมจนหัวคิ้วย่น ทันใดเธอก็ลืมตาขึ้น

‘หวานจัง!’

ฉันหัวเราะ ตาของเด็กหญิงใสแจ๋วเหมือนมีน้ำในบึงหล่อเลี้ยง จนฉันเห็นทุกอย่างเข้าไปย่อส่วนอยู่ในนั้นด้วย

บึงบัวสดสวย ฟ้าเดือนพฤษภาคม ก้อนเมฆรูปควายยังไม่หย่านม ลมที่มีกลิ่นหญ้าข้างคันนา แม้แต่กลิ่นโคลนในท้องทุ่ง

‘เธออยู่ชั้นไหนหรือ ชื่ออะไร’ ฉันถามออกไป

‘เธอนี่ตลกจัง’ เด็กหญิงยิ้มกว้างมากๆ ‘ฉันชื่อชื่นใจ อยู่ชั้นเดียวกับเธอไง’

 

ทําไมฉันจะจำไม่ได้ เหตุการณ์พบกันวันแรกของเรา เพียงแต่ว่า…ฉันเคยรู้จริงๆ ไหมว่าชื่นใจคิดอย่างไร

ตัวเธอเล่า จำได้ไหม ในสิ่งที่เคยแสดงออกกับฉัน

[‘บ้านเธอน่าอยู่จัง นั่นดอกอะไรหรือจ๊ะ’

‘นี่ดอกบานบุรี โน่นดอกแหนม’ ฉันตอบ

‘แปลกจัง…เหมือนแหนมตรงไหน สีออกจะสวย’

ที่ชื่นใจพิศวงอยู่นั้นคือดอกกระเทียมเถาสีม่วงอ่อน

‘มานี่ซี’

ฉันเด็ดใบดอกแหนมขยี้พอแหลก ส่งให้ดม เหมือนทุกครั้ง ชื่นใจจะหลับตาลงเวลาตั้งใจชิมหรือดมอะไรสักอย่าง สักพักตาใสแจ๋วก็เบิกกว้าง

‘เหมือนแหนมจริงๆ ด้วย!’

ฉันชอบเสียงชื่นใจ ชอบความตื่นเต้นที่เธอมี ชื่นใจทำให้ของธรรมดาจำนวนมากกลายเป็นสิ่งพิเศษ แม้แต่นกบนต้นไม้ กระรอก กระแต ปลีกล้วย มะม่วงสุกงอม ดอกลำไยที่เพิ่งติดช่อ ทุกอย่างไม่เหมือนที่เคยเป็นมา]

…เธอต่างหาก ช่วงเวลานาทีเหล่านั้น เธอคิดอย่างไร

 

[ให้…เพื่อนเก่า

 

ยังจำได้ไหม…

ว่าเธอมีใครอยู่เป็นเพื่อน

ยามเธอเหงาใครเล่าเฝ้าห่วงเตือน

อยู่เป็นเพื่อนเพราะจริงใจให้คนดี

 

นึกถึงวันเก่าก่อน…

ที่ยอกย้อนใจฉันนี้

คิดบ้างว่าเคยมี

ฉันคนนี้อยู่เคียงกาย

 

ไปแล้วอย่าไปลับ

จงย้อนกลับอย่าแหนงหน่าย

เพื่อนเธอมิเคยคลาย

สัมพันธ์เก่าให้เลือนราง

 

คิดถึงฉันสักนิด

ยามเมื่อชีวิตเธออ้างว้าง

ไม่มีใครเป็นเพื่อนในเส้นทาง

จงคิดบ้างว่าครั้งหนึ่งเธอมีใคร

ชื่นใจ, 25 มิถุนายน]

 

[That’s What Friends Are For

Oh, and then, for the times when we’re apart

Well then, close your eyes and know

These words are come from my heart

And if you can remember

 

Keep smiling, keep shining

Knowing you can always count on me for sure

That’s what friends are for

In good times, in bad times

I’ll be on your side forevermore

Oh, that’s what friends are for

With love, พี่

ชื่นใจ, 18 กรกฎาคม]

 

ฉันมองหน้าชื่นใจ…ด้วยความสนใจเต็มหัวอก มองสลับกับตัวหนังสือยิบๆ บนสมุดขนาดเท่าหนังสือ ปกลายสก๊อตสีแดงที่เธอพลิกเปิดกางหน้า ยื่นมาให้อ่าน

เราลุกมาจากข้างตลิ่งแล้ว แต่ยังอยู่กันที่ตีนบันไดเรือน

“เธออ่านได้ไหมจ๊ะ” ชื่นใจก็จ้องดูฉัน

ฉันมองใบหน้าของเพื่อนในวัยเด็ก พร้อมกับมองตัวหนังสือเหล่านั้นอีกที

แทนการตอบ ถามกลับไป

“เธอเขียนภาษาอังกฤษได้ด้วยหรือ”

“ลอกมา” ชื่นใจหัวเราะ “มันมีคำแปลในหนังสือด้วย ถึงรู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ว่าฉันอยากจะเขียนแค่ตัวอังกฤษบ้าง มันดูเท่ดี แต่ก็เขียนยากน่าดู ต้องลอกตามทีละตัว…เธอล่ะ เคยลองเขียนบ้างหรือเปล่า”

ฉันนิ่งไปชั่วครู่

“…ไม่”

“ก็เนอะ เราไม่เคยได้เรียนกันนี่” ชื่นใจยิ้มอย่างแจ่มใส “ฉันจะเอาสมุดทั้งหมดไว้กับเธอนะ”

“ทำไม…”

“ก็บอกแล้วไง ฉันเขียนไว้รอเธออ่านสักวัน”

 

ชื่นใจออกจากบ้านไปแล้ว จากบ้านหลังเก่าเดิมที่ยิ่งค่ำยิ่งเหมือนมีฝุ่นฉาบหนา พระอาทิตย์กำลังจะคล้อยลงต่ำทางทิศตะวันตก มองข้ามเรือนไม้อีกฝั่งถนนไป แสงสีส้มกำลังอาบไล้ปลายยอดต้นหมากและต้นมะพร้าว

ฉันไม่ได้บอกชื่นใจว่า หลายปีที่ผ่านมาฉันพยายามฝึกเรียนภาษาอังกฤษอยู่บ้าง และจึงพอจับความได้อย่างกระท่อนกระแท่น

เท่าที่ฉันจะพอเข้าใจ

ในเวลาที่เราอยู่ห่างกัน

ปิดตาคู่นั้นของเธอลงและจงรู้ไว้

คำพูดเหล่านี้ที่ออกมาจากใจ

หากเธอยังจดจำ…

 

ยิ้มนะ ยิ้มไว้ ยิ้มให้สดใสเจิดจ้า

รับรู้เถอะว่า เธอเชื่อใจฉันได้วันยังค่ำ

นั่นคือความหมายของการเป็นเพื่อน

โปรดย้ำเตือนจดจำ

ในทุกช่วงดีร้าย สูงส่งหรือตกต่ำ

ฉันจะอยู่ข้างเธอตลอดไป

นั่นแหละ คือความหมายของการเป็นเพื่อน

เหมือนมีเปลวไฟสีส้มแลบเลียเข้าในอกฉัน

และเนื้อความที่พยายามสะกดแปลอ่านนั้นก็ละลายไหลตามเข้าไปด้วย