ไทม์เอาต์ / Red Monster/วีเออาร์กับพรีเมียร์ลีก ความเที่ยงตรง (?) ที่น่ากังขา

Soccer Football - Premier League - Burnley v Manchester United - Turf Moor, Burnley, Britain - January 12, 2021 Referee Kevin Friend during a VAR review Pool via REUTERS/Peter Powell EDITORIAL USE ONLY. No use with unauthorized audio, video, data, fixture lists, club/league logos or 'live' services. Online in-match use limited to 75 images, no video emulation. No use in betting, games or single club /league/player publications. Please contact your account representative for further details.

ไทม์เอาต์/Red Monster

วีเออาร์กับพรีเมียร์ลีก

ความเที่ยงตรง (?) ที่น่ากังขา

 

นับเป็นประเด็นที่วิจารณ์กันไม่มีวันจบ สำหรับเทคโนโลยีภาพช้าช่วยตัดสิน หรือ วีเออาร์ ว่าสุดท้ายแล้ว ช่วยกรรมการตัดสินได้อย่างแม่นยำและเที่ยงตรงขึ้นหรือไม่

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ไมเคิล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินพรีเมียร์ลีก เพิ่งออกมายอมรับว่าตัดสินพลาดในเกมที่ เอฟเวอร์ตัน เสมอกับ ลิเวอร์พูล 2-2 ที่เตะไปเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม

แม้มีเทคโนโลยี แต่ก็เลือกใช้ไม่ครอบคลุมพอ

โดยจังหวะปัญหาเกิดขึ้นในช่วง 10 นาทีแรกของเกม จอร์แดน พิกฟอร์ด มือกาวเอฟเวอร์ตัน เข้าปะทะทำฟาวล์ใส่ เวอร์จิล ฟาน ไดก์ กองหลังหงส์แดง จนฟาน ไดก์ ได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวเข่าจนต้องผ่าตัด และพักยาวมาจนถึงปัจจุบัน

โอลิเวอร์บอกว่า จังหวะนั้นผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้าช้า แล้วพิกฟอร์ดก็เข้าสกัดฟาน ไดก์ ซึ่งตนมองว่า เกิดจังหวะล้ำหน้าขึ้นก่อน จึงบอกห้องควบคุมวีเออาร์ว่า ให้เช็กจังหวะล้ำหน้า ถ้าไม่ล้ำ จะเป่าให้เป็นจุดโทษ

เปาดังคนเดิมยอมรับว่า ทีมงานรวมถึงตัวเองไม่ได้เช็กจังหวะฟาวล์ให้ละเอียดพอ เพราะถึงจะเป็นจังหวะล้ำหน้าก็ยังสามารถแจกใบแดงให้พิกฟอร์ดได้

นอกจากนี้ เกมดังกล่าว หงส์แดงชวดได้ประตูในนาที 90+2 เพราะ ซาดิโอ มาเน่ โดนวีเออาร์จับล้ำหน้าไปแค่ไม่กี่มิลลิเมตรเท่านั้น โดยวัดจากปลายศอกของแข้งดัง

ไม่พ้นที่จะถูกตั้งคำถามอีกว่า การตีเส้นแม่นยำแค่ไหน

 

ฤดูกาล 2020-2021 ยังมีหลายเกมที่กลายเป็นประเด็นร้อนเกี่ยวกับการตัดสิน และหงส์แดงนี่แหละคือทีมที่โดนวีเออาร์เล่นงานมากเป็นอันดับต้นๆ ของลีก

ลิเวอร์พูลเคยเสียจุดโทษแบบสุดอึ้ง ในเกมกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด เมื่อ 24 ตุลาคม โดย ฟาบินโญ่ เสียบสกัดบอลจากด้านหลังใส่คู่แข่งบริเวณเส้นกรอบเขตโทษ

เดิมที ไมก์ ดีน เป่าให้เป็นฟรีคิก แต่วีเออาร์ท้วงให้ทบทวนก่อน สุดท้ายกลายเป็นจุดโทษ และเชฟฯ ยูก็ยิงเข้าขึ้นนำไปก่อน 1-0 ก่อนสุดท้ายหงส์แดงจะแซงชนะได้ 2-1

เยอร์เก้น คลอปป์ กุนซือหงส์แดงถึงกับโวยว่า จังหวะนี้ จริงๆ แล้วไม่ใช่แม้แต่การฟาวล์ด้วยซ้ำ เพราะมองว่าฟาบินโญ่เสียบโดนบอลเต็มๆ

หลังจบเกม มีคำอธิบายว่า วีเออาร์เช็กแค่ว่าจุดเกิดเหตุอยู่ในหรือนอกกรอบเขตโทษ ก่อนสรุปมาว่า เส้นกรอบเขตโทษนั้นเป็นส่วนหนึ่งของในกรอบ เมื่อเหตุการณ์เกิดบนเส้นสามารถให้เป็นลูกโทษได้ แต่ไม่ได้เช็กว่าฟาวล์หรือไม่ เพราะไมก์ ดีน ตัดสินไปแล้วว่าฟาวล์

นับเป็นเรื่องที่หลายคนคงคิดไม่ถึงมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ฟาวล์บนเส้น ผู้ตัดสินมักให้เป็นฟรีคิกนอกกรอบจนชินตา

 

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าสนใจ นั่นคือเกมบิ๊กแมตช์ที่ แมนฯ ยู เสมอ เชลซี 0-0 เมื่อ 24 ตุลาคม ที่บางคนแซวว่าอย่างกับเล่นมวยปล้ำในสนามฟุตบอล

จังหวะสุดกังขานั้นเกิดขึ้นในครึ่งแรก เมื่อ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กองหลังผีแดง ใช้สองแขนล็อกแขนล็อกคอของ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แนวรับของเชลซี ขณะแย่งโหม่งในกรอบเขต

ผู้ตัดสินปล่อยให้เหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไป และมีรายงานในภายหลังว่าทีมงานในห้องวีเออาร์มองว่าไม่ใช่การฟาวล์จนถึงขั้นเสียจุดโทษด้วย

หลังจบเกม ทั้งอัซปิลิกวยต้า และ แฟรงก์ แลมพาร์ด กุนซือเชลซีถึงกับควันออกหู โวยวายว่านั่นควรเป็นจุดโทษชัดๆ บอกว่าอย่างน้อย ผู้ตัดสินหลักก็ควรไปดูจอข้างสนามด้วยตัวเอง แต่กลับเชื่อใจทีมวีเออาร์แบบเต็มร้อย

แม้จะมีเทคโนโลยี แต่คำว่าดุลพินิจนี่แหละที่น่าหวั่น ว่าแต่ละครั้งจะออกหัวหรือก้อย และเมื่อตัดสินพลาดไปแล้ว จบเกมไปแล้ว จะออกมายอมรับหรือขอโทษทีหลัง ก็ย้อนกลับไปแก้ผลการแข่งขันไม่ได้

เห็นได้ชัดว่า วีเออาร์ที่เขาว่ากันว่านำมาใช้เพื่อช่วยให้การตัดสินแม่นยำขึ้น บางทีก็ยังมีจุดที่น่ากังขา

เพราะสุดท้ายแล้วคนควบคุมเทคโนโลยีก็คือมนุษย์ที่มาตรฐานอาจไม่เท่ากันเสมอไปอยู่ดี