ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มกราคม 2564 |
---|---|
เผยแพร่ |
ลมหนาว พราก กลบเสียงขาน (79)
คําอธิบายของเหมายฉางซูมีความแจ่มชัด “ตอนนั้นพระอาจารย์ได้รับโทษเพราะวาจาสัตย์ชื่อ กลายเป็นถูกความภักดีทิ่มแทงตัวเอง ท่านทราบดีว่าอาจเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
แต่ยังคงพูดออกมา ยอมหักไม่ยอมงอ
นี่เป็นอุปนิสัยของปราชญ์การปกครองโดยแท้ ดังนั้น ผู้เยาว์คิดว่าสรรพสิ่งบนโลกล้วนสถิตด้วยมรรค เร้นกายในป่าเขาเป็นมรรค บำเพ็ญตนในวัดก็เป็นมรรค ขอเพียงจิตใจบริสุทธิ์
ไม่กระทำเรื่องละอายตน ไม่เปล่งวาจาผิดทำนองคลองธรรม ไหนเลยยึดติดกับสถานะของตน”
แจ่มชัดในตัวตนของหลีฉง แจ่มชัดในความใกล้ชิดและเข้าใจต่อหลีฉงซึ่งเป็นอาจารย์ โจวเซวียนซิงเลิกคิ้วขาวโพลน ดวงตาอันปกคลุมด้วยหนังตาห้อยย้อยส่องประกายเจิดจ้าขึ้นแวบหนึ่ง
“ท่านแม้รับการอบรมสั่งสอนไม่นาน
กลับรู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณเขาได้ ดูท่าเขามอบหยกจักจั่นนี้ให้ท่านนับว่ามีสายตากว้างไกล แล้วท่านทราบถึงเจตนาที่พี่หลีพกพาหยกชิ้นนี้ติดตัวหรือไม่”
ด้านหนึ่ง ยกย่อง ด้านหนึ่ง เสนอคำถาม
แน่นอน ย่อมเป็นคำถามอันลึกซึ้ง คำถามอันจะยืนยันว่าเหมยฉางซูแนบแน่นกับอาจารย์หลีฉงของตนมากเพียงใด มากเพียงพอที่จะรู้ความนัยอันเป็นเรื่องเฉพาะส่วน เฉพาะตนหรือไม่
เหมยฉางซูยกมือไพล่หลังเนิบช้า เชิดคางผอมบางขึ้น
ประโยคแรกที่กล่าวออกมาคือ “น้ำค้างตก ยกปีกยาก ลมหนาวพราก กลบเสียงขาน” ประโยคต่อมาอันรับสัมผัสกันอย่างต่อเนื่องทั้งโดยความ ทั้งโดยคำ
“ใจพิสุทธิ์ครั้งวันวาร ใครเจือจาน ร่ำร้องแทน”
ได้ยินดังนั้น โจวเซวียนซิงค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงเบาๆ คล้ายต้องการดื่มด่ำความรู้สึก เนิ่นนานโดยปราศจากวาจา
เท่ากับเป็นการยอมรับ เท่ากับเป็นการรับทราบ
ขณะเดียวกัน กล่าวสำหรับเหมยฉางซูเมื่อได้กล่าวโศลกอันเป็นความในใจของอาจารย์ บนสีหน้าเปี่ยมแววอันสุขและสงบ ริมฝีปากปิดสนิท ดวงตาจับจ้องขอบฟ้าไกล
จมดิ่งอยู่ในความคิดคำนึงถึงห้วงใดห้วงหนึ่งแห่งวันวาร
อย่าได้แปลกใจหากท่านผู้อาวุโส โจวเซวียนซิงจะกล่าวออกมาเหมือนกับจะรำพึง “ชีวิตที่เหลืออยู่สามารถพบศิษย์สูงส่งของพี่หลี นับว่าสมใจแล้ว”
จึงค่อยๆ นำหยกจักจั่นวางลงบนมือของเหมยฉางซู
“ผู้ชราไม่รู้ว่าผู้เยาว์ต้องการสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ใดในเมืองหลวง ปรารถนาเดียวก็คือขอให้ท่านอย่าได้ลืมเลือนชื่อเสียงดีงามของอาจารย์ ต้องรักษาไว้ให้มั่น”
เหมยฉางซูค้อมคารวะด้วยใบหน้าเลื่อมใสสูงสุด
“วาจาล้ำค่า ผู้เยาว์จดจารใส่ใจ อาจารย์หนาวเย็นรุนแรงถึงเพียงนี้ท่านผู้เฒ่าไม่คำนึงถึงวัยอายุ กลับยินดีปรากฏตัวช่วยเหลือสหายเก่า ผู้เยาว์รู้สึกสำนึกตื้นตันยิ่ง”
“เห็นหยกจักจั่นนี้อย่าว่าแต่เข้าเมืองรอบหนึ่ง
ต่อให้ผู้ชราไปถึงชายแดนก็หาหวั่นเกรงไม่ เรื่องที่ผู้เยาว์ไหว้วานก็ลุล่วงแล้ว ได้เวลาที่ผู้ชราต้องกลับวัดปฏิบัติธรรม เช่นนั้นร่ำลากันตรงนี้เถอะ”
ว่าแล้วโจวเซวียนซิงก็สาวเท้าเพื่ออำลาจากไป
ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวก็หันกลับ “พี่หลีตอนนั้นมีศิษย์รักอยู่คนหนึ่ง แม้หลังจากเข้ารับราชการทหารนิสัยเปลี่ยนเป็นองอาจฮึกเหิม ทว่ากลับกอปรด้วยไหวพริบปฏิภาณล้ำเลิศ
หากตอนนี้ท่านอยู่ด้วย ไม่แน่ท่านกับเขาอาจถูกขนานนามเป็นคู่แฝดหยกงามก็เป็นได้”
ผิวพรรณซีดจางของเหมยฉางซูที่อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นยิ่งขับเน้นให้เห็นความขาวพิสุทธิ์ปานหิมะ ริมฝีปากหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มสดใส
“ท่านผู้เฒ่ายกย่องแล้ว บุคคลยิ่งใหญ่เช่นนั้นเกรงว่าผู้เยาว์ไร้วาสนาไม่อาจได้ชื่นชมสง่าราศี”
“นั่นก็ใช่แล้ว” โจวเซวียนซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “คนผู้นั้น…ไม่มีวันได้พบเห็นอีกแล้ว” ในดวงตาทอประกายหม่นหมองขึ้นวูบหนึ่ง-พลันหันกายจากไปโดยไม่เหลียวหลังอีก
ท่านผู้เฒ่าเอ่ยถึงศิษย์คนใดของอาจารย์หลีฉงหรือ