บ่อน ด่าน ส่วย /กาแฟโบราณ – มนัส สัตยารักษ์ (ฉบับประจำวันที่ 15-21 มกราคม 2564 ฉบับที่ 2109)

กาแฟโบราณ
มนัส สัตยารักษ์
[email protected]

บ่อน ด่าน ส่วย

ช่วงปีใหม่ 2564 สำหรับผมก็เหมือนกับยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา กล่าวคือ ไม่อยากออกจากบ้านไปไหน เปิดทีวีที่ทิ้งร้างมาตั้งแต่วันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าเอาเสียงเป็นเพื่อน แล้วก็ต้องตกใจเล็กน้อยกับภาพคนเมาขับรถเก๋งชนเสาไฟฟ้าอย่างแรงจนรถพลิกว่ำแตกกระจาย ซึ่ง CCTV (ปากเกร็ด) บันทึกภาพไว้ได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ
แต่ที่ตกใจเอามากๆ อยู่ตรงไตเติล “ด่าคนช่วย” และภาพของชายคนขับผู้รอดตายอย่างเหลือเชื่อ ในสภาพเปลือยอกและเมามายอย่างหนัก กำลังต่อว่าด่าทอตำรวจ 4 นายที่พยายามพาตัวไปจากที่เกิดเหตุ
สีหน้าของหมอนั่นมั่นอกมั่นใจเหมือนอีตาทรัมป์ขณะประกาศไม่ยอมแพ้ไบเดน จนในที่สุดตำรวจต้องใช้เชือกมัดข้อเท้าก่อนเอาตัวขึ้นกระบะท้ายรถไปอย่างทุลักทุเล
ขอขอบคุณสื่อที่ไม่เซ็นเซอร์ภาพเหตุการณ์และโคลสอัพใบหน้าชายเมาสุราอย่างชัดเจน
ในข่าวทีวี พลเมืองดีที่เข้าไปช่วยเปิดประตูรถลากตัวคนขับออกมาเล่าว่าชายเมาสุราผู้นี้ด่าเขาอย่างหยาบคายที่เข้าไปช่วยเหลือ!
ผมคิดว่าจะเขียนถึง “7 วันอันตราย” ของเทศกาลปีใหม่หนนี้ ย้อนไปหาข้อมูลจากสารพัดสื่อออนไลน์ พบบันทึกข่าวภาพข้างต้นในกูเกิลและเฟซบุ๊ก ปรากฏว่าคลิปข่าวดังกล่าวได้รับการแชร์ 230 ครั้ง และถูกคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นถึง 437 ความเห็น
แต่ละความเห็นล้วนสาปแช่งชายเมาสุราให้ตกนรกตายทั้งสิ้น!

สื่อหลักแทบทุกประเภทรายงานสถานการณ์ “7 วันอันตราย” อย่างพร้อมเพรียงกัน
กระทรวงสาธารณสุขสรุปจากรายงานของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในช่วง 7 วันช่องเทศกาลปีใหม่ 2564 หรือตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ถึง 4 มกราคม 2564 มีข้อมูลผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนรวม 20,506 ราย เสียชีวิต 389 ราย
สาเหตุของการบาดเจ็บและเสียชีวิตมาจากไม่สวมหมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
ที่สำคัญ จากการตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ได้รับบาดเจ็บทุกราย พบเป็นผู้ดื่มสุรา มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินมาตรฐาน 50 มิลลิกรัม/เปอร์เซ็นต์ จำนวน 6,111 ราย (หรือร้อยละ 29) ในจำนวนนี้เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินมาตรฐาน 50 มิลลิกรัม/เปอร์เซ็นต์ 1,038 ราย!
โหมด Images ของกูเกิลแสดงให้เห็นภาพตัวเลขความเสียหาย ประกอบด้วยภาพการจราจรที่หนาแน่นติดขัด รวมทั้งภาพชวนหวาดเสียวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ
เช่น ภาพไฟกำลังโหมไหม้รถยนต์หรือจักรยานยนต์
ภาพคนเจ็บพร้อมทั้งทรัพย์สินที่กระจายระเนระนาดไปตามพื้นถนน ความยุ่งยากขลุกขลักของการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สาธารณภัย ท่ามกลางแสงไฟวับวาบ และ ฯลฯ
สาเหตุสำคัญก็มาจากมีแอลกอฮอล์ในเลือดเกินมาตรฐาน 50 มิลลิกรัม/เปอร์เซ็นต์
ตัวเลขของความตายจากเทศกาลปีใหม่ กับตัวเลขจากความตายเพราะไวรัสโควิด-19 ชวนให้น่าขบคิดเป็นอย่างยิ่ง…วันแรกของ “7 วันอันตราย” เพียงวันเดียว คนไทยเสียชีวิตไป 47 ราย เกือบเท่ากับที่เสียชีวิตด้วยโควิดทั้งปี 64 ราย

เห็นกันจะจะว่าความสูญเสีย (ชีวิต) จากเทศกาลปีใหม่มีมากกว่าการสูญเสีย (ชีวิต) จากไวรัสโควิดมากมายหลายเท่า แต่ในความเป็นจริงเรากลับรู้สึกหวั่นกลัวสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดมากกว่าหลายพันเท่า
ไม่ต้องไปสำรวจตรวจนับตัวเลขจากหน่วยงานไหน แค่ดูหรือฟังข่าวเพียงไม่กี่นาทีของหัวค่ำวันนี้ (ที่ 6 มกราคม) ก็พบข่าวชวนหวั่นไหวและน่าหวาดกลัวอย่างน้อยก็ 4-5 ข่าว
– จีนเอาไม่อยู่ เจอไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ใช้มาตรการเข้มข้นก่อนจะถึงเทศกาลตรุษจีน
– เยอรมนีเอาไม่อยู่ ขยายเวลาล็อกดาวน์
– พยาบาลสาวโปรตุเกสเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 2 วัน
– วัคซีนโควิดของไฟเซอร์ ผลข้างเคียงรุนแรง ไส้ติ่งอักเสบ บาดเจ็บจากการฉีดที่ไหล่
คิดให้ลึกถึงก้นบึ้ง เราจะพบว่าข่าวร้ายทั้ง 2 ข่าวนี้สำแดงฤทธิ์และให้ผลต่อสังคมแตกต่างกันอย่างมาก ข่าวจาก “7 วันอันตราย” พอถึงวันที่ 8 ก็ยุติ-จบ แต่ข่าวจาก “โควิด-19” ไม่เคยยุติ แม้ในช่วงที่ “ไทยชนะ” และนายกรัฐมนตรีของเราได้รับการยกย่อง
ข่าวของโควิดได้ขยายขอบเขตของการต่อสู้ ไปสู่ “การต่อสู้ทางการเมือง” มากกว่าปัญหาอื่นของประเทศ นักการเมืองต่างใช้ข่าวบางประเด็นโจมตี กล่าวหา ด่าทอ ประณาม ซึ่งกันและกัน มากกว่าปัญหาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลต่างๆ
ข่าวโควิดสร้าง fake news สารพัด แม้กระทั่งคำพูดของ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกของ สบค. ยังถูกบิดเบือนไปเป็นอีกเรื่อง ในขณะที่ข่าว “7 วันอันตราย” ไม่มี fake news
วันนี้ โควิด-19 หรือไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่น่าหวาดหวั่นเพราะมันยังเป็นความลึกลับสำหรับมนุษยชาติอยู่ ไม่เหมือนกับ “สุราอันแปลว่าเหล้า” ซึ่งประจักษ์แจ้งมากว่า 2564 ปีแล้ว

ข้อดีของสถานการณ์ “โควิด-19 รอบใหม่” ข้อแรก (และหวังว่าจะเป็นข้อสุดท้าย) ก็คือ เป็นที่ยอมรับทั่วกันทุกฝ่ายและทุกฝั่งการเมือง ว่าการแพร่ระบาดรอบใหม่ในไทยเมื่อปลายปี 2563 นี้ ต้นเหตุที่แท้จริงมาจาก “คนไทย” ไม่ใช่อื่นไกล
กล่าวคือ คนไทยที่ดูแล “ด่าน” กับคนไทยที่เปิด “บ่อน” และคนไทยที่จ่าย “ส่วย”
นั่นคือ ข้าราชการคนไทยปล่อยให้คน (จะโดยสัญชาติอะไรก็ตาม) ที่ติดเชื้อโควิดผ่านเข้ามาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตำรวจไทยปล่อยให้คนไทยเปิดบ่อน ปล่อยให้คนติดเชื้อโควิด (ไม่เลือกสัญชาติ) มั่วสุมกัน แล้วทั้งหมดเหมือนกับช่วยกันแพร่ขยายเชื้อโควิดกระจายไปสู่สังคมรอบตัวโดยรวดเร็วและโดยไม่แสดงอาการ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากข้าราชการผู้มีอำนาจหน้าที่ข้างต้นต่างทุจริตคอร์รัปชั่น เรียกรับผลประโยชน์อันมิควรได้นั่นเอง
ฟังจากการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตีความได้ว่าท่านพอจะเข้าใจคำว่า “ทุจริตคอร์รัปชั่น” ดีขึ้นกว่าในเวลาตลอด 6 ปีก่อน
และฟังจากการตอบคำถามผู้สื่อข่าวของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ก็เชื่อได้ว่า ท่านรู้ว่าอะไรคืออะไรมาตั้งแต่เป็นว่าที่ ร.ต.ต. แหละครับ
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่ผู้นำรัฐบาลและข้าราชการระดับสูงสุดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่มีใครปฏิเสธความจริง… อันดับถัดไปก็อยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป

ขอยืนกรานว่าปัญหาเรื่องด่าน บ่อน และส่วย เป็นเรื่องด่วนและสำคัญสูงสุดในปี 2564 เพราะมันหมายถึงสภาพอันมั่นคงของการทุจริตคอร์รัปชั่น แพร่เชื้อร้ายจากโควิดและส่งผลไปถึงความทรุดโทรมล่มสลายของเศรษฐกิจ ความเสียหายของสุขภาพและชีวิตของประชาชน ลุกลามไปจนกระทั่งสูญสิ้นประเทศได้
ปัญหาเรื่อง “คนเมา” แม้จะยังเป็นเนื้อร้ายที่แก้ไม่ตกมาตลอดทุกเทศกาล ยอมรับว่าประเทศและสังคมเสียหายมากเช่นกัน แต่ไม่ถึงกับทำให้หวาดผวาเหมือนโควิดรอบใหม่
จำได้ว่า ตอนที่ยังเป็นหนุ่มร่างกายแข็งแรง ก็เคยเมาเดินชนต้นไม้ริมถนน ตกใจรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากเมา ตบกระเป๋ากางเกงที่มีปืนพกอยู่ข้างใน พร้อมกับตวาดต้นไม้ว่า “อะไรวะ!”
เท่ากับเสียสติไปไม่เกิน 10 วินาที แต่ถึงกระนั้นก็ทำให้ไม่กล้ากินเหล้าถึงเมาอีกเลย อดมองโลกในแง่ดีไม่ได้ว่า ในอนาคตอันตรายจากเทศกาลคงบรรเทาลงจนแก้ไขได้ในที่สุด
ในเรื่องบ่อนก็เช่นกัน อดมองโลกในแง่ดีไม่ได้…
เป็นตำรวจท้องที่และตำรวจกองปราบปราม รวมแล้วหลายสิบปี แม้ว่าจะเป็นตำรวจที่ไม่ดีเท่าไรนัก แต่ผมกับเพื่อนตำรวจอีกเป็นแสนคนก็ไม่เคยรับเงินบ่อนนะครับ ไอ้ที่รับเงินบ่อนน่ะมีไม่กี่คนหรอก…ปราบง่ายจะตายไป