คุยกับทูต : ‘ซัยยิด เรซ่า โนบัคตี’ การก่อการร้ายโดยรัฐ

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญของอิหร่านถูกลอบสังหารใกล้กรุงเตหะราน

ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ยุติลงโดยง่าย เมื่อทางการอิหร่านพุ่งเป้าไปที่อิสราเอลศัตรูคู่อาฆาตว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการลอบสังหาร

พร้อมประกาศจะตอบโต้อย่างสาสม ซึ่งส่อเค้าทำให้สถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง

นายซัยยิด เรซ่า โนบัคตี (H.E. Mr. Seyed Reza Nobakhti) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านประจำประเทศไทย เปิดสถานทูตต้อนรับคณะของเรา

และเปิดเผยเรื่องราวว่า

 

“เมื่อเวลา 14.00 น. ของวันที่ 27 พฤศจิกายน 2020 รถยนต์ของ ดร.โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ (Dr. Mohsen Fakhrizadeh) ตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหารด้วยคาร์บอมบ์ระหว่างทางที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุงเตหะราน หลังจากนั้นผู้ก่อการร้ายเข้ายิงถล่ม ทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา”

“หนังสือพิมพ์ Haaretz ของอิสราเอล ยังได้รายงานหลังเหตุการณ์ลอบสังหารครั้งนี้ว่า ที่ผ่านมา หน่วยงานลับของอิสราเอล ได้มีความพยายามลอบสังหาร ดร.โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ล้มเหลว”

“ดร. โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ เกิดในปี ค.ศ.1958 เป็นหัวหน้าองค์กรวิจัยและนวัตกรรมแห่งสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลิตคิดค้นชุดตรวจไวรัสโคโรนา และเป็นกำลังสำคัญในการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาในปัจจุบัน”

“ทั้งยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวงการอุตสาหกรรมนิวเคลียร์เพื่อสันติของอิหร่าน โดยมีชื่อเสียงโดดเด่นติดอันดับนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ 500 คนของโลกด้วย”

 

“นับได้ว่า อิหร่านตกเป็นเหยื่อของการก่อการร้ายรายใหญ่ที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านตกเป็นเป้าโจมตีของผู้ก่อการร้าย” ท่านทูตโนบัคตีชี้แจง

“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำและวีรบุรุษของอิหร่านหลายคนตกเป็นเป้าหมายและถูกลอบสังหารจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายที่แตกต่างกัน โดยหลักฐานของเราบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ศูนย์ในต่างประเทศบางแห่งอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารดังกล่าว”

“จากร่องรอยในการลอบสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่านถือเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนของการกระทำอย่างขี้ขลาด โดยระบอบการปกครองของผู้ก่อการร้ายอิสราเอลซึ่งได้ลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจำนวนมากในอิหร่านและทั่วโลก จัดเป็นการก่อการร้ายของรัฐ”

“สำหรับการลอบสังหาร ดร.โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญของอิหร่านถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ตลอดจนคุณค่าและมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน”

“เรามีคำถามสำคัญสองประการ อันเกี่ยวกับการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่าน นั่นคือ

1. อะไรคือจุดประสงค์ของการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำโดยเฉพาะด้านนิวเคลียร์คนสำคัญของเรา

2. มีรัฐบาล องค์กรก่อการร้าย และองค์ประกอบใดบ้างที่ให้การสนับสนุนการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ดังกล่าว”

“แน่นอนว่า หนึ่งในสาเหตุหลักของการลอบสังหารดังกล่าวนี้ คือการหยุดพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์และการป้องกันประเทศของอิหร่าน”

“แต่ควรพิจารณาว่า บุคคลที่ถูกลอบสังหารเหล่านั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อประเทศอื่นๆ”

“ดร.โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและผลิตชุดทดสอบ COVID-19 ซึ่งรวมทั้งวัคซีนด้วย แต่ระบอบไซออนิสต์ได้พยายามบิดเบือนกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ของชาวมุสลิมทั้งโลกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์อย่างก้าวหน้าของอิสลาม”

“เหตุผลเดียวของพวกเขาในการลอบสังหารคือความกลัวในความรู้และความก้าวหน้าของประเทศอิหร่าน อย่างไรก็ดี กลุ่มก่อการร้ายสหรัฐ และระบอบไซออนิสต์ กำลังพยายามจัดระเบียบใหม่ในตะวันออกกลางด้วยการปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ ด้วยเงื่อนไขที่ว่าจะให้บริการกับภูมิภาคนี้เฉกเช่นโคนมที่ต้องให้นมตลอดเวลา”

 

“ดร.โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและเป็นหนึ่งในห้าบุคคลของอิหร่านที่อยู่ในรายชื่อบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุด 500 คนในโลกซึ่งได้รับการแนะนำโดย American Magazine Foreign Policy”

“ส่วนคำตอบสำหรับคำถามที่สอง ต้องย้ำอีกครั้งว่า ตัวแทนของระบอบไซออนิสต์ได้ลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ของอิหร่านหลายคนแล้ว การลอบสังหารนายมาจิด ชาฮริอารี (Majid Shahriari) นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชาวอิหร่าน และนายมาซูด อาลี โมฮัมมาดี (Massoud Ali Mohammadi) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยด้านฟิสิกส์ชาวอิหร่าน เป็นหนึ่งในการกระทำของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้”

“ตามความเป็นจริง การลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านเป็นโครงการร่วมกันระหว่างอิสราเอล สหรัฐอเมริกา และซาอุดีอาระเบีย”

“ในขณะที่หลายประเทศอ้างว่าต่อสู้กับการก่อการร้ายโดยพยายามทำให้อิหร่านเป็นผู้กระทำความผิดในการก่อการร้ายและความไม่ปลอดภัยในทุกโอกาส ด้วยข้อกล่าวหาที่ประดิษฐ์ขึ้นและในสถานการณ์ต่างๆ แต่ก็ยังคงต้องแสดงให้เห็นว่า การกระทำของผู้ก่อการร้ายเหล่านี้จะถูกประณามจากประชาคมระหว่างประเทศอย่างไร”

“ศัตรูของประเทศอิหร่านได้แสดงให้เห็นว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย พวกเขาไม่ได้ละเว้นความพยายามใดๆ ในการก่ออาชญากรรมซึ่งรวมถึงการลอบสังหาร พล.ท.คัสเซม โซไลมานี (Qasem Soleimani) ผู้มีบทบาทสำคัญในการทำลาย ISIS และต่อสู้กับการก่อการร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา อิสราเอล และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งร่วมกันกำจัดและลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่าน”

 

ท่านทูตกล่าวว่า

“แม้ว่าการสูญเสียบุคคลชั้นนำและนักวิทยาศาสตร์อย่าง ดร.โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ จะเป็นการสูญเสียสำหรับประเทศอิหร่าน แต่ผู้วางแผนอาชญากรรมเหล่านี้ก็คาดการณ์ผิดพลาดอีกครั้ง เนื่องจากการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในอิหร่านอย่างเป็นระบบ การลอบสังหารจะไม่ขัดขวางความมุ่งมั่นของเยาวชนและนักวิทยาศาสตร์ของอิหร่านในการเดินตามเส้นทางวิทยาศาสตร์ไปสู่ความเป็นเลิศเพื่อพิชิตจุดสูงสุดแห่งความภาคภูมิใจ ดังเช่นชีวิตที่สูญสิ้นไปของบุคคลอันทรงคุณค่า”

“เราขอย้ำเตือนต่อมาตรการของผู้ท้าทายในบางประเทศ ยิ่งไปกว่านั้นคือเราจะพิจารณาถึงสิทธิตามกฎหมายในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อปกป้องประชาชนของเรา และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเรา ทั้งนี้ อิหร่านจะตอบสนองต่อการลอบสังหารในเวลาที่เหมาะสม”

“เป็นความหวังของผู้คนในโลกที่แสดงออกถึงการสนับสนุนต่อคุณค่าสิทธิมนุษยชนและกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น ประชาคมระหว่างประเทศ และประเทศต่างๆ ดังเช่น สหภาพยุโรป จักต้องดำเนินการอย่างชัดเจน และออกจากการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานของตน โดยประณามการกระทำของรัฐที่ก่อการร้ายภายใต้ขบวนการไซออนิสต์”

 

อย่างไรก็ตาม ท่านทูตซัยยิด เรซ่า โนบัคตี เสริมว่า

“หลังการเสียชีวิตของนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์คนสำคัญของอิหร่าน หลายประเทศได้ประณามการกระทำของผู้ก่อการร้ายนี้ ว่าเป็นการลอบสังหารที่ขัดต่อกฎบัตรสหประชาชาติและผิดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งทุกประเทศต่างคาดหวังต่อการลงโทษกลุ่มผู้สังหารโหดนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งถูกสังหารขณะที่กำลังรับใช้มนุษยชาติอย่างทุ่มเท และเป็นที่น่าเสียใจยิ่งที่ปัจจุบันยังคงมีบางประเทศที่กล่าวอ้างสิทธิมนุษยชนและห้ามประณามการก่อการร้ายนี้ ส่วนอิสราเอลกลับอ้างถึงความรับผิดชอบต่อการก่อการร้ายครั้งนี้ในแง่ของสิทธิมนุษยชนโดยทางอ้อมด้วย”

“ทั้งนี้ อิสราเอล ผู้ยึดครองปาเลสไตน์มีประสบการณ์อย่างโชกโชนในการสังหารสตรี เด็กๆ และผู้บริสุทธิ์อย่างเลือดเย็น แถมยังได้รับความไว้วางใจได้รับมอบหมายหน้าที่จากสหรัฐอเมริกาในการสังหารโหดและก่อการร้าย ทั้งยังขัดขวางประเทศที่กำลังพัฒนาไม่ให้พัฒนาตนเองได้ และกดขี่ประเทศอิสระทั่วโลกด้วยการผูกติดสินค้าของอเมริกาเพียงเท่านั้น”

“อาชญากรรมต่อสิทธิมนุษยชนนี้ พิสูจน์ความเป็นผู้ก่อการร้ายตัวยงของอเมริกา รัฐเถื่อนไซออนิสต์ และพันธมิตรของเขา ผ่านการเจรจาทางการทูต โดยใช้วิธีการลอบสังหารและก่อการร้ายในหมู่ประชาคมโลก และยังกำหนดเงื่อนไขของตนต่อประเทศอื่นๆ ด้วย”

“ขอให้มิตรสหายชาวไทยได้โปรดเข้าใจว่า การลอบสังหาร ดร.โมห์เซน ฟาครีซาเดห์ คือการกระทำที่ผิดมหันต์ ผิดหลักมนุษยชน และเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญที่สร้างคุณูปการอย่างมากต่อมนุษยชาติ”

 

ท้ายสุด ท่านทูตกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างกันว่า

“ประเทศของเราทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอย่างยาวนานกว่า 400 ปี ซึ่งในปี 2021 ที่ใกล้จะถึงนี้ จะมีการจัดงานครบรอบ 335 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ”

“ประเทศไทยและอิหร่านมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ให้เกียรติซึ่งกันและกันมาโดยตลอด เอกลักษณ์อันงดงามและความคล้ายคลึงของประชาชนทั้งสองประเทศ คือ รักสงบ ดูแลกันและกัน และให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่เช่นเดียวกัน”

“ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวชาวอิหร่านจำนวน 110,000 คนเดินทางมาเยี่ยมเยียนและท่องเที่ยวในประเทศไทย”

“ข้าพเจ้าขอขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ได้จัดการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อไวรัสโคโรนาที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 นี้หมดไป การเยี่ยมเยือนระหว่างผู้นำประเทศ ข้าราชการในหลายระดับ ตลอดจนประชาชนของทั้งสองประเทศจะเกิดขึ้นอีกครั้งในอีกไม่นานนี้”