นพมาส แววหงส์ /ภาพยนตร์ : THE MIDNIGHT SKY ‘โลกาวินาศ’

นพมาส แววหงส์

THE MIDNIGHT SKY
‘โลกาวินาศ’

  กำกับการแสดง
George Clooney

     นำแสดง                                                                                                          George Clooney
Felicity Jones
Kyle Chandler
David Oyelowo
Caoilinn Springal

ผลพวงจากโควิดทำให้หนังเรื่องนี้เข้าโรงฉายในอเมริกาเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็ปลดออกมาจัดจำหน่ายในช่องทางอื่น รวมทั้งเน็ตฟลิกซ์ด้วย

และเป็นหนังที่สะดุดตาน่าสนใจจากการเป็นโปรเจ็กต์ของพระเอกรูปงาม จอร์จ คลูนีย์ ซึ่งทำหน้าที่ทั้งผู้กำกับฯ และนักแสดงนำด้วย

…เพียงแต่ว่าไม่ได้ปรากฏตัวในฐานะพระเอกรูปงามแล้ว แต่ด้วยรูปลักษณ์ของชายสูงวัย หนวดเครารุงรังในเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายมิดชิด แทบไม่เหลือเค้าดาราหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวที่เคยได้รับขนานนามขึ้นทำเนียบ “หนุ่มโสดเนื้อหอมที่สุดของฮอลลีวู้ด” (Hollywood’s Most Eligible Bachelor) และต้องสละตำแหน่งเมื่อแต่งงานไปเมื่อหลายปีก่อนนี้เอง

จอร์จ คลูนีย์ มีชื่ออยู่ในผลงานภาพยนตร์ที่โดดเด่นหลายเรื่อง ทั้งในฐานะนักแสดง ผู้กำกับฯ และผู้อำนวยการสร้าง รวมทั้ง Syriana (2006), Michael Clayton (2007), Up in the Air (2009, The Descendants (2011) และ Argo (2012)

The Midnight Sky สร้างจากนิยายขายดีของลิลี่ บรุกส์-ดาลตัน เรื่อง Good Morning, Midnight ซึ่งเป็นนิยายวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับโลกในอนาคตอันใกล้จนน่าใจหายในอีกไม่ถึงสามสิบปีข้างหน้านี้เอง

นิยายและหนังไซไฟทำนายอนาคตอันหดหู่ของโลกและมนุษยชาติไว้ในหลายแบบหลายลักษณะ อันเป็นผลจากปัจจัยต่างๆ นานา นับตั้งแต่ระเบิดนิวเคลียร์ การแย่งชิงอำนาจและฆ่าฟันประหัตประหารกันเอง ไปจนถึงดาวหางพุ่งเข้าชนโลก เป็นต้น

คราวนี้เกิดจากอะไรเราก็ไม่รู้แน่ชัด และหนังก็ไม่ได้ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แต่ขึ้นตัวหนังสือบอกว่า มี “เหตุการณ์” บางอย่างเกิดขึ้น

และมีคำพูดของตัวละครที่บอกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากมนุษย์เองที่ไม่ได้ทำหน้าที่ “รักษาโลกไว้ให้ดี” อย่างที่ควรจะทำ

ซึ่งก็น่าจะตีความได้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดจากปัญหาภัยพิบัติของภูมิอากาศที่แปรสภาพดาวเคราะห์ดวงนี้ให้ไม่อยู่ในภาวะที่มนุษย์จะอยู่อาศัยได้ต่อไป

ทว่าก่อนหน้านั้นหลายปี นักวิทยาศาสตร์ภายใต้การนำของออกัสติน ลอฟต์เฮาส์ (อีธัน เพ็ก ในวัยหนุ่ม และจอร์จ คลูนีย์ ในวัยชรา) ได้ค้นพบดาวเคราะห์ในสุริยจักรวาลที่น่าจะมีบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้มนุษย์อยู่ได้

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโลกนี้เอง ดวงจันทร์บริวารดวงหนึ่งของดาวพฤหัสบดีทำท่าว่าจะมีสภาพที่มนุษย์จะไปอยู่อาศัยได้ มีอากาศที่หายใจได้ และมีน้ำซึ่งเป็นแหล่งต้นกำเนิดของสรรพชีวิต

จากการค้นพบนี้ โลกได้ส่งยานและกระสวยอวกาศมากมายหลายลำพามนุษย์อวกาศออกไปสำรวจดวงจันทร์ของดาวพฤหัสฯ

โครงการอวกาศสำรวจดาวเคราะห์ที่มนุษย์สามารถอยู่อาศัยได้ยังไม่ทันสำเร็จดีก็เกิด “เหตุการณ์” บนโลกขึ้นก่อน

ค.ศ.2049 หอสังเกตการณ์ในอวกาศที่ตั้งอยู่แถบวงกลมอาร์กติกที่ขั้วโลกเหนือทำการอพยพผู้คนออกไปหมด ทิ้งไว้แต่เพียงชายชราหนวดเคราขาวรุงรังคนเดียวที่ตั้งใจจะใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่น เนื่องจากเขาป่วยและต้องถ่ายเลือดอยู่เป็นประจำ

ดังนั้น ถ้าปราศจากอุปกรณ์การแพทย์สำหรับถ่ายเลือดแล้ว เขาก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้อยู่ดี ต่อให้รอดชีวิตไปจากภัยพิบัติเฉพาะหน้าได้

ออกัสติน (จอร์จ คลูนีย์) ได้พบเด็กหญิงวัยเจ็ดแปดขวบ (เคย์ลินน์ สปริงออลล์) ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะในที่พัก เข้าใจว่าเด็กน้อยถูกพ่อ-แม่ลืมทิ้งไว้ตอนอพยพไปอย่างฉุกละหุก

เด็กหญิงไม่พูดไม่จาเลย ถามอะไรก็ไม่ตอบ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการหูหนวก หลังจากที่ออกัสตินถามชื่อเสียงเรียงนาม เธอก็วาดรูปดอกไอริสให้ดู ทำให้ออกัสตินรู้ว่าเธอชื่อไอริส

ไอริสคอยติดสอยห้อยตามออกัสตินไปตลอด ไม่ว่าเขาจะพยายามกีดกันเธอออกไปอย่างไร จนในที่สุดทั้งสองก็สร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นและห่วงหาอาลัยต่อกัน

นอกจากว่าไอริสเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่อันยากลำบากในโลกอันหนาวเย็นของออกัสติน โดยไม่ให้มีแต่ความเงียบของการอยู่ตัวคนเดียวแล้ว เรื่องราวของเธอยังมีการพัฒนาต่อไปในตอนจบอีกขั้นหนึ่ง

ภารกิจสุดท้ายที่ออกัสตินตั้งไว้ให้แก่ตัวเอง คือการติดต่อกับยานอวกาศที่กำลังจะเดินทางกลับสู่โลก เพื่อบอกให้รู้ว่าโลกไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์สามารถอยู่อาศัยได้ดังเดิมอีกแล้ว

สภาพการณ์ที่ดีที่สุดบนโลกคือมนุษย์ที่ยังเหลือรอดอยู่ต้องหลบลงใต้ดิน เพื่อเอาตัวรอดจากภัยพิบัติเฉพาะหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรโลกจึงจะคืนสภาพดังเดิม

และออกัสตินพบว่ามียานอวกาศลำเดียวที่ปรากฏบนเรดาร์ให้เขาพยายามติดต่อ คือยานอีเธอร์ แต่สัญญาณก็ขาดหายไป ไม่สามารถสื่อสารกันได้

หนังตัดสลับระหว่างเรื่องราวของออกัสตินและไอริสที่ติดสอยห้อยตามเขาไปเพื่อหาจุดที่จะมีสัญญาณเชื่อมต่อกันได้ ท่ามกลางอันตรายจากสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นและสัตว์ร้ายและการสูญเสียอุปกรณ์สำคัญในการดำรงชีพไปเรื่อยๆ

กับเรื่องราวของกลุ่มมนุษย์อวกาศบนยานอีเธอร์ซึ่งกำลังเดินทางกลับโลกและประสบอุปสรรคต่างๆในการเดินทาง เช่น ต้องเดินทางฝ่าเส้นทางการโคจรของดาวเคราะห์น้อย ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งในแง่ของการสูญเสียชีวิตและกลไกของยาน

นอกจากทั้งสองเรื่องที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันแล้ว ยังมีแฟลชแบ็กของเรื่องราวในอดีตแทรกเข้ามาประปราย

ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องราวของผู้คนที่มีที่มาและที่ไปต่างกัน การสูญเสียและการตัดสินใจเลือกทางเดินครั้งสำคัญในชีวิต

ตัวละครสำคัญบนยานที่จะขมวดเรื่องราวในตอนท้ายและเป็นความหวังของมนุษยชาติต่อไปคือ ซัลลี่ (เฟลิซิตี้ โจนส์ จาก The Theory of Everything)

ก่อนหน้านี้ มีภาพของซัลลี่สำรวจดาวเคราะห์ดวงใหม่อันมีทิวทัศน์แปลกตาด้วยสีสันสะดุดตา รวมทั้งความฝันที่ว่าเธอถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวบนดาวเคราะห์แห่งนั้น ขณะวิ่งตามยานอวกาศที่ทะยานขึ้นฟ้าจากไป

ภาพของยานอีเธอร์ก็ดูแปลกตาไปจากยานอวกาศอื่นๆ ที่เคยเห็น เป็นดีไซน์ที่สลับซับซ้อนพิสดารพันลึก

เสียดายที่เรื่องดราม่าระหว่างตัวละครบนยานอวกาศยังดูไม่ค่อยลงตัวเท่าไรนัก ซึ่งอาจเป็นปัญหาของผู้กำกับฯ ที่ต้องมีบทให้แสดงด้วย ทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในฉากที่แยกอยู่ต่างหากจากฉากที่ตัวเองมีบทแสดงด้วย

ภาพยนตร์เป็นศิลปะแห่งจินตนาการในเรื่องที่ยังไม่เกิดและอาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะน่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้มนุษย์เราดูแลโลกของเราให้ดีกว่านี้ เพื่อจะได้อยู่รอดปลอดภัยไปอีกนานเท่านาน…