ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มกราคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
หากจะเข้าใจความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนวันนี้ต้องย้อนกลับไปทบทวนความสัมพันธ์ของสองยักษ์ใหญ่ในยุคประวัติศาสตร์ช่วงประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา
เพราะหลายช่วงตอนนั้นสหรัฐกับจีนก็พยายามสานสัมพันธ์ระหว่างกัน
ช่วงจีนอ่อนแอ สหรัฐต้องการจะยื่นมือช่วยเหลือให้เป็นพวก
แต่เมื่อจีนตั้งตัวได้ สลัดแอกของอาณานิคมตกวันตก ปักกิ่งก็ยืนตระหง่านเป็นของตัวเอง
เมื่อสหรัฐยืนยันความเป็นเบอร์หนึ่งของโลก แต่ความผันผวนในสังคมจีนมีทั้งช่วงสู้กันเองและช่วงยื่นมือขอความช่วยเหลือ
จนถึงจังหวะที่สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนภายใต้เหมาเจ๋อตุงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
วันนี้ จีนสยายปีกขึ้นเป็นเบอร์สองของโลก เบอร์หนึ่งอย่างสหรัฐย่อมจะไม่ยอมถูกแซงหน้าเฉยๆ ได้
ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ, เทคโนโลยี, ความมั่นคง หรือ “บารมี” ที่มาในรูปแบบต่างๆ ที่สหรัฐไม่คุ้นเคย แต่จีนได้นำเสนอความสัมพันธ์แบบใหม่กับบรรดาประเทศต่างๆ จนเบียดอเมริกาตกขอบไปในหลายกรณี
ย้อนกลับไปตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐจีนภายใต้การนำของซุนยัดเซนเมื่อปี 1912 หลังการล่มสลายของราชวงศ์ชิง
แม้ว่าซุนยัดเซนจะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แต่อำนาจที่แท้จริงของจีนขณะนั้นยังอยู่ในมือของกองกำลังทหารของแต่ละภูมิภาค
ซุนยัดเซนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวได้ไม่กี่เดือนก็ต้องก้าวลง เปิดทางให้นายพลหยวนซื่อข่ายขึ้นมาแทน
แต่ในปี 1915 หลังเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นยึดเขตของเยอรมนีในจังหวัดชานตงของจีน
เป็นที่มาของ “21 ข้อเรียกร้อง” ของญี่ปุ่นต่อรัฐบาลจีนขณะนั้น
หัวใจของข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นคือการเปิดช่องทางการค้าและสิทธิพิเศษในการบริหารแผ่นดินจีน
บทบาทสหรัฐตอนนั้นเริ่มเห็นชัดเมื่อประธานาธิบดี Woodrow Wilson คัดค้านข้อเรียกร้องของญี่ปุ่น
ตัวแทนสหรัฐประจำจีน Paul Reinsch แนะนำรัฐบาลจีนให้แข็งขืนญี่ปุ่นให้ยืดเยื้อที่สุดเท่าที่จะทำได้
ญี่ปุ่นยอมลดเงื่อนไขที่มีผลกระทบต่ออธิปไตยของจีนบางประเด็น แต่ก็ยอมตามญี่ปุ่นในข้อเรียกร้องอื่นๆ
เพราะจีนไม่ได้อยู่ในฐานะจะต่อรองกับญี่ปุ่น และอเมริกาก็ไม่อาจจะให้คำรับรองว่าจะโอบอุ้มจีนให้ต่อต้านญี่ปุ่นได้มากมายนัก
ปี1917 อเมริกาก็ยอมญี่ปุ่น…ให้มีอิทธิพลทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน
ภายใต้ข้อตกลงที่เรียกว่าข้อตกลง Lansing-Ishii Agreement ซึ่งเป็นการลงนามโดยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ Robert Lansing และรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น Ishii Kikujiro
ภายใต้ข้อตกลงนี้สหรัฐ ยอมรับว่าญี่ปุ่นมี “ผลประโยชน์พิเศษ” (special interests) ทางภาคอีสานของจีน
เท่ากับเป็นการแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ของต่างชาติในจีน
เพราะจีนแตกแยกกันเป็นก๊กๆ ไร้ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวพอที่จะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองได้
ในปี 1916 นั้นเอง หยวนซื่อข่ายในตำแหน่งประธานาธิบดีจีนก็ประกาศสถาปนาตนเองป็น “จักรพรรดิ” องค์ใหม่
แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็มีอันต้องเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ มิใช่เพราะการยื้อแย่งอำนาจทางการเมืองกับ “เจ้าพ่อ” ของกลุ่มติดอาวุธต่างๆ
จากนั้น จีนก็เข้าสู่ภาวะแตกฉานซ่านเซ็น กลุ่มติดอาวุธภายใต้การนำของ “war lords” ที่มีทั้งอิทธิพลบารมีอันหมายถึงเงินและอาวุธ
ไม่มีใครยอมอยู่ใต้ใคร
มี “รัฐบาลกลาง” ที่ปักกิ่งเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ไม่มีอำนาจสั่งการอะไรใครทั้งสิ้น
เป็นสภาพบ้านแตกสาแหรกขาดโดยสิ้นเชิง
รัฐบาลสหรัฐมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลที่ปักกิ่ง แต่คนอเมริกันและบริษัทอเมริกันในจีนต่างก็ติดต่อไปมาหาสู่กับกลุ่มติดอาวุธของแต่ละภูมิภาค
เพราะอำนาจจริงกระจายตัวกันอยู่ในเขตอิทธิพลต่างๆ ทั่วประเทศ
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งระเบิดขึ้นในปี 1919 จีนประกาศเข้าข้างพันธมิตร
เพราะประธานาธิบดีสหรัฐ Woodrow Wilson แนะนำให้รัฐบาลที่ปักกิ่งทำเช่นนั้น
รัฐบาลปักกิ่งก็ยอมตามด้วยความหวังว่าสหรัฐจะตอบแทนด้วยการเจรจากับญี่ปุ่นให้ยอมคืนดินแดนจีนที่โตเกียวยึดไปจากเยอรมันก่อนหน้านั้น
แต่ก็ไร้ผล
เพราะข้อตกลงยุติสงครามโลกครั้งนั้นจบลงด้วยสนธิสัญญา Versailles
เป็นข้อตกลงที่เกิดจากการต่อรองลับๆ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างญี่ปุ่น, อังกฤษ และฝรั่งเศส
หนึ่งในเงื่อนไขของข้อตกลงนั้นคือการยกดินแดนที่ว่านี้ให้กับญี่ปุ่น
สหรัฐช่วยจีนไม่ได้เลย
พอข่าวเรื่องนี้ไปถึงจีนวันที่ 4 พฤษภาคม 1919 นักศึกษาจีนรวมตัวกันเดินขบวนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และบุกเข้าบ้านของรัฐมนตรีจีนคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเอียงข้างญี่ปุ่น
เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการที่เรียกว่า May 4th Movement (ขบวนการวันที่ 4 พฤษภาคม)
เป็นความเคลื่อนไหวทางสังคมที่ผนวกเอาการเรียกร้องปฏิรูปทั้งการเมือง, วัฒนธรรม, การศึกษา, ที่มีกระแสชาตินิยมเป็นหลัก
นั่นคือกระแสของคนรุ่นใหม่จีนที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและการเมืองให้พ้นจากสภาพล้าหลังและการยื้อแย่งอำนาจเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเท่านั้น
นักเคลื่อนไหวจีนยุคนั้นมองไปที่สหรัฐว่าเป็น “แม่แบบ” ของการปฏิรูปสังคมจีน
ปี1921 คือปีของก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
เป็นการรวมตัวของคนจีนที่มีแนวความคิดสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ขณะนั้นกำลังคุกรุ่นเพราะมีสหภาพโซเวียตเป็นแรงหนุน
ผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้นัดพบกันที่เซี่ยงไฮ้ ณ เขตยึดครองของฝรั่งเศส
ที่ปรึกษาของคนกลุ่มนี้เป็นสายมาจากสหภาพโซเวียต กระตุ้นให้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ในจีน
พรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจประกาศเป็นแนวร่วมกับพรรคชาตินิยม (Nationalist Party) หรือก๊กมินตั๋งของซุนยัดเซน
ปีต่อมา สหรัฐแสดงบทบาทบ้าง มีการประชุมที่เรียกว่า Washington Conference ในช่วงปี 1921-22 ที่เน้นเรื่องนโยบายของสหรัฐต่อเอเชียตะวันออก
ที่ประชุมตกลงให้ญี่ปุ่นคืนดินแดนที่ยึดครองในเมืองชานตงให้กับจีน
แต่กระแสชาตินิยมจีนที่เกิดจาก May 4th Movement ทำให้มีการต่อต้านคนอเมริกันในจีนโดยเฉพาะในหมู่หมอสอนศาสนา
นำไปสู่การออกกฎหมายที่ให้โรงเรียนหมอสอนศาสนาทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลจีนในเวลาต่อมา
เมื่อซุนยัดเซนเสียชีวิตในปี 1925 เจียงไคเช็กขึ้นมานำพรรคก๊กมินตั๋งแทน
เจียงไคเช็กมีฐานที่มั่นอยู่กวงโจวทางใต้ แต่สามารถยึดครองพื้นที่ทางเหนือสำเร็จ จนสามารถประกาศตั้งนานกิงเป็นเมืองหลวงใหม่
เจียงไคเช็กเริ่มกวาดล้างคอมมิวนิสต์ที่เซี่ยงไฮ้อย่างรุนแรง ความร่วมมือระหว่างก๊กมินตั๊งกับคอมมิวนิสต์จีนเป็นอันขาดสะบั้นลง
สหรัฐเป็นประเทศแรกที่ประกาศรับรองรัฐบาลจีนภายใต้การนำของเจียงไคเช็ก
1934 คือจุดเริ่มต้นของการ “เดินทางไกล” ของคอมมิวนิสต์จีนเพื่อไปตั้งหลักสู้กับเจียงไคเช็ก เหมาเจ๋อตุงสร้างผลงานระหว่างการเดินทางไกลนี้จนเป็นผู้นำที่โดดเด่นอย่างชัดเจน
สองปีต่อมาคือการระเบิดของสงครามระหว่างญี่ปุ่นกับจีนรอบที่สอง
ปี 1938 คือจุดที่สหรัฐยื่นมือให้ความช่วยเหลือเจียงไคเช็ก
ประธานาธิบดีสหรัฐ Franklin D. Roosevelt ตกลงให้เงินกู้ 25 ล้านเหรียญต่อรัฐบาลก๊กมินตั๋ง
อีก 2 ปีต่อมาก็เพิ่มเงินกู้นั้นเป็น 100 ล้านเหรียญ
นี่คือจุดเริ่มต้นที่อเมริกาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในจีน
ในช่วงนั้น ทั้งเจียงไคเช็กและเหมาเจ๋อตุงต่างก็พยายามจะขอให้อเมริกาช่วยโดยมีเป้าหมายทางการว่าเพื่อขับไล่ญี่ปุ่น
แต่เอาเข้าจริงๆ เจียงกับเหมาก็ทำสงครามกันเองขณะที่สู้รบกับญี่ปุ่น
เบื้องหลังการวางนโยบายของสหรัฐต่อจีนในช่วงนั้นจึงเต็มไปด้วยความย้อนแย้งและความผันผวนที่นำมาสู่ภาวะการเผชิญหน้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ของโลกวันนี้