ยานยนต์/นิว “ฮอนด้า แจ๊ซ” อาร์เอส สปอร์ตครบเครื่อง-โดนใจโจ๋

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

นิว “ฮอนด้า แจ๊ซ” อาร์เอส สปอร์ตครบเครื่อง-โดนใจโจ๋

ต้องยอมรับว่าช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมาค่าย “ฮอนด้า” เข้ามากระชับพื้นที่ “ยานยนต์ สุดสัปดาห์” มากกว่าค่ายอื่นๆ

เรื่องของเรื่องเพราะค่ายนี้เปิดตัวรถยนต์แบบต่อเนื่องแทบจะเดือนละรุ่น

แถมแต่ละรุ่นถือว่าน่าสนใจจนไม่กล้ามองข้าม เพราะไม่ว่าจะเป็น “ซิตี้” ตามมาด้วย “ซีอาร์-วี” (CR-V) ใหม่ที่ใส่เครื่องยนต์ดีเซลมาเป็นครั้งแรก และ “โมบิลิโอ” รถกลุ่มมินิเอ็มพีวี ที่แม้จะเป็นไมเนอร์เชนจ์ แต่ก็เชนจ์จนแทบจำโฉมเดิมไม่ได้

ล่าสุดเป็นคิวของ “แจ๊ซ” (Jazz) เปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ แต่เป็นการเปิดตัวผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กทาง newjazz.honda.co.th และ Facebook Fanpage Enjoy Honda Thailand

แจ๊ซถือเป็นเก๋ง 5 ประตูรุ่นดังที่เข้ามาพลิกความเชื่อเก่าๆ ของค่ายรถในเมืองไทยที่ว่าคนไทยนิยมรถเก๋งแบบ 4 ประตูมากกว่ารุ่น 5 ประตู

สร้างบนพื้นฐานโครงสร้างใหม่ “GLOBAL SMALL PLATFORM”

โฉมแรกเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทยช่วงปี พ.ศ.2546 ช้ากว่าที่ญี่ปุ่นประมาณ 2 ปี ซึ่งที่ญี่ปุ่นรุ่นนี้เรียกว่า “ฟิต” (Fit) แต่ฮอนด้าประเทศไทยเกรงว่าคนไทยอาจจะไม่ชอบ หรือรู้สึกว่าชื่อจะทำให้รู้สึกอัดอัด จึงใช้ชื่อแจ๊ซแทน และเป็นชื่อที่ขายในหลายประเทศ อาทิ ยุโรป บางประเทศในเอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง ฯลฯ

แจ๊ซรุ่นแรกเปิดตัวมาพร้อมๆ กับซิตี้ ที่ถือว่าเป็นคู่แฝดเพราะใช้แพลตฟอร์มเดียวกัน มียอดขายระเบิดเถิดเทิงจริงๆ แซงหน้าซิตี้อย่างมาก

โดย 6 ปีแรกแจ๊ซกวาดยอดขายทั่วโลกถึง 2 ล้านคัน

ต่อมาเปิดตัวโฉมที่ 2 ก็ยังขายดิบขายดี เป็นขวัญใจวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิง

โฉมปัจจุบันเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 เปิดตัวเมื่อปี พ.ศ.2557

แจ๊ซ ไมเนอร์เชนจ์ หากดูผ่านๆ อาจรู้สึกว่าไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่ถ้าเป็นรุ่น “RS” และ “RS+” ซึ่งเป็นรุ่นแต่งพิเศษ ที่มาทำตลาดแทนรุ่น “SV” และ “SV+” จะดูแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ

ผมจึงขอเจาะเฉพาะรุ่น “RS” และ “RS+” เพราะถือว่าเปลี่ยนไปมากที่สุด และครบเครื่องที่สุด

ดีไซน์ภายนอกสปอร์ตโฉบเฉี่ยวทันสมัยยิ่งขึ้น เปลี่ยนชัดๆ คือกระจังหน้าและกันชนหน้า-หลังดีไซน์ใหม่ กระจังหน้ามีเส้นคาด 2 เส้น เส้นบนเป็นสีเงิน ส่วนเส้นล่างเป็นสีดำ “Gloss Black” เป็นเอกลักษณ์ของรถฮอนด้ารุ่นหลังๆ พร้อมสัญลักษณ์ RS

ออกแบบให้เชื่อมกับไฟหน้าแบบ LED แบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ซึ่งมองแล้วคล้ายๆ ไฟหน้าของ “ซีวิค” ใหม่ แต่ลดขนาดลงมา

ติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (DRL) แบบ LED ลักษณะไฟเป็นเส้นยาวอยู่ใต้ไฟหน้า ที่กำลังเป็นเทรนด์ยอดนิยม

ต่ำลงมาเป็นชายล่างสีดำด้านในเป็นตาข่ายพลาสติกสีดำ มีไฟตัดหมอกทรงกลม

เส้นสายตัวถังทั้งกระโปรงหน้าและด้านข้างใกล้เคียงของเดิม

ขณะกระจกมองข้างใช้สีดำไม่ใช่สีเดียวกับตัวรถแบบที่คุ้นกันในรุ่นย่อยอื่นๆ มีระบบปรับพับด้วยไฟฟ้า

ล้อขนาดใหญ่ 16 นิ้วลายใหม่ ขณะที่รุ่นต่ำกว่าเป็นแบบ 15 นิ้ว

ด้านหลังคล้ายของเดิมยกเว้นชายล่างที่ใช้สีดำเพื่อล้อกับด้านหน้า ติดตั้งสปอยเลอร์ด้านบนพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3

ภาพรวมด้านนอกเรียกว่าแทบไม่ต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมเพราะได้ความสปอร์ตและดูดีอยู่แล้ว

ภายในเน้นสีดำเป็นหลักแต่แซมสีเงินตกแต่งไว้เป็นบางจุด รวมกับเบาะผ้าสีดำลายใหม่เดินด้านสีส้ม สปอร์ตเพิ่มขึ้นได้อีก

พวงมาลัย 3 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่นพร้อมระบบผ่อนแรงแบบไฟฟ้า ปุ่มด้านขวาเป็นระบบควบคุมความเร็วใช้งานคjอนข้างง่าย ส่วนหลังพวงมาลัยมีปุ่มแพดเดิลชิพไว้เปลี่ยนเกียร์

มาตรวัดเรืองแสงสีฟ้าแบบ 3 วงกลม โดยด้านซ้ายเป็นจอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID ส่วนจอดตรงกลางขนาดใหญ่มีไฟแสดงหากขับขี่ด้วยความประหยัด

ขยับมาตรงกลางเป็นระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 6.8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สาย รองรับการเชื่อมต่อภาพและเสียงผ่าน HDMI พอร์ตเสียบ USB และส่งภาพจากกล้องมองหลังมาด้วย แต่ยังไม่มีช่องใส่แผ่นซีดีเช่นเดิม

ต่ำลงเป็นระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผงควบคุมแบบสัมผัส ใกล้ๆ กันเป็นปุ่มสตาร์ต/สต๊อป นอกจากนี้ มีปุ่ม “ECON” ช่วยการขับขี่ให้ประหยัดมากขึ้น ซึ่งระบบนี้จะปรับเครื่องยนต์ การเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อ ระบบการเปลี่ยนเกียร์ รวมไปถึงแอร์ให้สัมพันธ์กันมากขึ้น

พื้นที่ห้องโดยสารถือว่ากว้างขวางสะดวกสบาย เบาะนั่งอัลตร้าซีต สามารถพับและปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ได้ถึง 4 โหมดการใช้งาน เบาะคู่หน้าเมื่อถอดที่รองศีรษะออกสามารถพับหงายไปชนกับเบาะนั่งแถวหลังได้

ขณะที่พนักพิงแถวหลังพับแบบ 60-40 ได้พื้นที่ราบเรียบ เพิ่มที่ว่างด้านหลังให้มากขึ้น

การที่เบาะทั้ง 2 แถวสามารถพับได้ราบทำให้ขนของขนาดยาวสูงสุด 2,480 ม.ม.

หรือหากต้องการขนของที่มีความสูงสามารถพับเปิดเบาะนั่งด้านหลัง เพื่อวางของกับพื้นรถได้สูงสุด 1,280 ม.ม.

พลาดไม่ได้กับช่องใส่ของจุกจิกกระจายอยู่เต็มคัน วางแก้วน้ำได้มากถึง 9 ตำแหน่ง

ส่วนที่เท้าแขนคนขับตรงกลางใส่ของและมีช่องใส่แท็บเล็ตให้ด้วย

ขุมพลังยัง8″ใช้บล๊อกเดิมเครื่องยนต์ ซิงเกิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟต์ SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 146 นิวตัน-เมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที

ผสานระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม รองรับพลังงานทางเลือก E85

มาตรฐานความปลอดภัยครบครัน อาทิ โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control หรือ G-CON ปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง ถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)

ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD)

เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดครบทั้ง 5 ตำแหน่งที่นั่ง คู่หน้าเป็นแบบดึงกลับอัตโนมัติ

ช่วงล่างด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัต เหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม แบบ H-Shape

มิติตัวถัง (กว้างxยาวxสูง) 1,695×4,035×1,525 ม.ม. โดยรุ่น RS ยาวกว่าตัวปกตินิดหน่อย (46 ม.ม.) ส่วนฐานล้อ 2,530 ม.ม.

มีทั้งหมด 6 สี พร้อมสีใหม่ “ส้มฟีนิกซ์” (มุก) ซึ่งเป็นรุ่นที่ใช้ทำตลาดของแจ๊ซ ไมเนอร์เชนจ์ด้วย

เลือกได้ 6 รุ่นย่อย

S MT(เกียร์ธรรมดา) 555,000 บาท

S CVT ราคา 594,000 บาท

V CVT ราคา 654,000 บาท

V+ CVT ราคา 694,000 บาท

RS CVT ราคา 739,000 บาท

RS+ CVT ราคา 754,000 บาท