ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มกราคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | ท่าอากาศยานต่างความคิด |
เผยแพร่ |
ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (63)
อุทยานรส (9)
ชินจิ นากามูระ วางตะเกียบในมือลง เขานึกถึงอาหารดังกล่าวที่แม่ของเขาเป็นคนทำ ควันไฟในครัว จานชามลายกระเบื้องที่ถูกทำความสะอาดและวางเรียงบนชั้น
มีหลายครั้งในยามบ่ายที่เขาเผลอหลับไปและตื่นขึ้นท่ามกลางควันไฟและจานชามเหล่านั้น มันคือฉากที่เขาไม่เคยลืมเลือน
ในยามบ่ายของวันนั้น แทนการนอนกลางวัน ชินจิ นากามูระ นั่งตัดสินใจว่าเขาควรกระทำอย่างไรต่อไปดี หากเขาจากบ้านหลังนี้ไปเพื่อไปมุ่งหาความตายในแดนไกลตามที่เขาตั้งใจ เขาควรออกเดินทางเสียแต่บัดนี้ ร่างกายของเขาได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ เขารู้สึกสดชื่นและเปี่ยมด้วยพลัง
ทว่าในขณะเดียวกัน เขากลับรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงที่พักแรมทางซึ่งเขาพลัดหลงมาเจอ
มันคือบ้านที่เขาคุ้นเคย มันคือพื้นที่ที่เขาแสวงหาการพักพิงมาเนิ่นนาน
อีกทั้งปริศนาจำนวนมากก็ยังรบกวนจิตใจของเขาอยู่
หญิงสาวที่ปรากฏตัวให้เขาพบในคืนนั้นเป็นใคร และบัดนี้เธออยู่ที่ใด
ใครเล่าที่ปรุงอาหารและจัดเตรียมเสื้อผ้าให้เขา
ไปจนถึงปริศนาสำคัญที่สุด
ทำไมอาหารเหล่านั้นจึงมีรสมือที่ไม่แตกต่างจากการปรุงของแม่
สําหรับชินจิ นากามูระ ผู้ที่อยู่ในโลกของความจริงมาตลอดชีวิต
สำหรับชินจิ นากามูระ ผู้ที่อยู่ในโลกของสงครามมาเนิ่นนาน
การแสวงหาคำตอบในเชิงที่พ้นไปจากความจริงเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้
เขาอาจให้เหตุผลได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นเรื่องของภูตผี
เขาอาจให้เหตุผลได้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีการซ้อนทับทางเวลากับบางสิ่งในอดีต
เขาอาจให้เหตุผลว่ามีพลังงานบางอย่างสร้างภาพอันเหนือจริงขึ้น แต่ทั้งหมดนี้เขากลับสรุปว่ามีใครบางคนจงใจเล่นตลกกับเขา
เป็นตลกร้ายที่รุนแรงเพื่อหาทางยับยั้งเขาไม่ให้เดินทางต่อไปตามที่ตั้งใจ
ชินจิ นากามูระ ลุกขึ้น เขาออกหาภาชนะบางอย่างที่มีขนาดใหญ่ก่อนจะพบกับตะกร้าหวายที่แขวนอยู่ข้างฝาผนัง
เขาไม่แน่ใจว่าในยามแรกที่เข้ามาในบ้านหลังนี้เขาได้เห็นตะกร้าใบนี้หรือไม่
ราวกับว่าทุกสิ่งที่เขาปรารถนาจะอุบัติขึ้นตามความนึกคิด จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าหากสวรรค์จะมีอยู่จริง มันคงมีลักษณะและรูปแบบเช่นนี้เอง
แดดยามบ่ายในบริเวณนั้นไม่รุนแรงนัก ชินจิ นากามูระ ใส่หมวกผ้าใบแบบทหารก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังป่าสนบนภูเขาด้านหลัง
เขาไม่พบใครเลยระหว่างทางในช่วงเช้าที่ไปอาบน้ำยังลำธาร และแม้แต่ในยามนี้เขาก็ไม่พบใครเลยในระหว่างเส้นทาง
สายลมอ่อนพัดไปมาบนภูเขา มีกลิ่นของดอกไม้ป่าบางประเภทลอยลมมา
แต่ที่ชินจิ นากามูระ หาได้ใส่ใจกับกลิ่นอื่น เขาติดตามกลิ่นของมัตซึตาเกะที่ปรากฏต่อเขาราวกับแมวที่ตามกลิ่นมุสิก
การตามหาเห็ดมัตซึตาเกะในครั้งนี้มีความหมายต่อเขามากกว่าครั้งใดๆ
การที่มันมีความหมายต่อเขาอย่างมากเพราะชินจิ นากามูระ ต้องการสร้างสัมพันธ์กับบางสิ่ง ในสภาพที่เป็นอยู่
เขาไม่แน่ใจว่าตัวเขาอยู่ที่ใด และเขาเชื่อว่าไม่นานนักเขาจะเกิดความรู้สึกว่าตนเองคือผู้ใดตามมา
เขาเคยประสบกับนายทหารหลายคนที่ตกอยู่ในสภาวะที่ว่านี้ หลังการรบอันยาวนาน พวกเขาตื่นขึ้นโดยไม่รู้ว่าตนเองประจำการอยู่ที่ใด พวกเขาลืมชื่อ ลืมหน่วยงาน ลืมเพื่อน ลืมครอบครัว
และในที่สุดพวกเขาก็ลืมไปว่าตนเองคือใคร
ชินจิ นากามูระ ไม่ต้องการตกอยู่ในสภาพที่ว่านี้
ราวชั่วโมง ชินจิ นากามูระ ก็ขึ้นมาถึงทางเดินที่มองเห็นหมู่บ้านด้านล่าง
มันเป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่โตนัก หากแต่มีหลายหลังคาเรือน หาใช่มีแต่เพียงบ้านที่เขาพำนักอยู่เพียงหลังเดียว
แต่กระนั้น ทำไมเขาจึงไม่พบเห็นผู้คนอื่นใดเลยตลอดวัน
พวกเขาเหล่านั้นหายไปไหน
พวกเขาเหล่านั้นแฝงตัวอยู่ที่ใด
ชินจิ นากามูระ หยิบกระติกน้ำขึ้น จิบน้ำในกระติก เขานึกถึงเพื่อนทหารของเขา
เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าการหายตัวของเขาจะทำให้เกิดความวุ่นวายเพียงใดบ้าง
หลังออกเดินต่อไม่นานนัก ชินจิ นากามูระ ก็พบเห็ดมัตซึตาเกะดอกแรก มันผุดขึ้นท่ามกลางใบสนที่ร่วงหล่นลงพรมผืนดินข้างทาง
เขาลงนั่งคุกเข่าและบรรจงใช้มีดพกด้ามเล็กซุยมันขึ้นมาอย่างทะนุถนอม
กลิ่นของเห็ดอวลออกมาเมื่อกระทบเข้ากับวัตถุที่แปลกปลอม
ชินจิ นากามูระ ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนน้อยของเขาห่อมันและนำลงตะกร้า
เห็ดดอกนั้นเปรียบดังสัญญาณแห่งชัยชนะบางอย่างของเขาในรอบหลายวันที่ผ่านมา
ชินจิ นากามูระ ลุกขึ้นยืน ในวินาทีนั้นเขารู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังลอบมองเขาอยู่ เขาเหลียวมองไปรอบๆ จริงดังคาด เขาคิดว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่กำลังสังเกตและสอดแนมเขา
ในวูบหนึ่งเขานึกถึงคนในกลุ่มโจรปลดปล่อยชาวเกาหลี
แต่ในด้านหนึ่งเขาก็คิดว่าไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้ ในสภาพการณ์แบบนี้ที่พวกโจรแลเห็นเขาพร้อมกับหมวกทหาร พวกนั้นคงไม่ลังเลที่จะสังหารเขาในทันที
และยิ่งเขาปรากฏตัวเพียงลำพัง ยิ่งไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะปล่อยให้เขามีชีวิตต่อไป
ดังนั้น ต้องเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่คนเหล่านั้น
แต่ใครกันเล่า เป็นใครกันเล่าที่สามารถซ่อนตัวและเคลื่อนตัวได้ปราดเปรียวเช่นนี้ในป่าโปร่งที่กำบังตนได้ยาก
ชินจิ นากามูระ ตัดสินใจกลับที่พัก ความไม่สบายใจบังเกิดขึ้นกับเขา หากจะมีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น เขาพึงใจที่จะไปรอรับมือมันยังที่พักมากกว่าที่อื่น
เขาลงจากเขา เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ช่วงเวลาแห่งการหุงอาหารยามค่ำสำหรับครอบครัว
ชินจิ นากามูระ พยายามมองหาควันไฟจากการกระทำดังกล่าวแต่ไม่พบ ไม่มีสัญญาณใดของมนุษย์คนอื่น ไม่มีสัญญาณใดของสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับมนุษย์เลย
เมื่อกลับถึงที่พัก มีอาหารอีกหนึ่งสำรับรอเขาอยู่ ครานี้เป็นอาหารที่เรียบง่าย เต้าหู้ขาวที่โรยด้วยผงดาชิ ข้าวหนึ่งถ้วยและผัดกระเจี๊ยบกับถั่วลิสงต้ม
ราวกับว่าผู้ที่ปรุงอาหารให้เขาต้องการให้เขางดเว้นจากอาหารที่มีเนื้อสัตว์
ชินจิ นากามูระ ล้างมือ ล้างหน้า และลงมือรับประทานอาหารด้วยความหิวโหย
เขาเพิ่งรู้สึกว่าความหวาดกลัวจากสายตาคู่นั้นที่เขารู้สึกได้ในป่าทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังงานมากเพียงใด
ข้าวในถ้วยยังร้อนอยู่ แสดงว่าผู้จัดเตรียมล่วงรู้ดีว่าเขาจะกลับมาถึงที่พักในเวลาใด
พวกเขาวางอาหารสำรับนี้ไว้ล่วงหน้าโดยคำนวณเวลาอย่างเหมาะสม
สำรับอาหารถูกวางลงในเวลาที่มันจะไม่เย็นเกินไปเมื่อเขารับประทาน
และไม่เร็วเกินไปจนผู้จัดเตรียมให้เขามีเวลาที่จะหลบหนีหายไปจากสายตาได้ทัน
ชินจิ นากามูระ วางตะเกียบลง เขาทิ้งสำรับไว้ในที่ของมันอย่างเคย เขาเทน้ำชาจากกาใส่ถ้วย จิบชาอันอุ่นละมุนละไมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินขึ้นไปบนชั้นบนของบ้าน
ที่ชั้นบนนั้นเตียงนอนของเขาถูกปูและจัดวางไปด้วยหมอนและผ้าห่มอย่างเป็นระเบียบ
มีชุดยูคาตะสีน้ำเงินครามถูกพับวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง
โคมไฟถูกจุดให้ความสว่างไสวและมีหนังสือในภาษาญี่ปุ่นหนึ่งเล่มวางอยู่ด้วย เป็นหนังสือของนัทซึเมะ โซเซกิ ที่มีชื่อว่า “ซันชิโร่”
หนังสือในภาษาญี่ปุ่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชินจิ นากามูระ คาดว่าจะได้พบในบ้านหลังนี้ เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงและพลิกอ่านตั้งแต่หน้าแรก
เขาไม่เคยได้ยินชื่อของผู้แต่งที่มีนามว่า นัทซึเมะ โซเซกิ มาก่อน
แต่กระนั้นจากเรื่องราวที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น เปี่ยมด้วยวรรณศิลป์ทำให้เขาเชื่อว่าผู้เขียนต้องเป็นนักเขียนที่มากด้วยความสามารถอย่างแน่นอน
เรื่องราวของเด็กหนุ่มนามซันชิโร่ที่เดินทางจากคิวชูมายังโตเกียวเพื่อการศึกษา ที่โตเกียว เด็กหนุ่มคนนั้นต้องเผชิญกับชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิม
เขาต้องปรับตัวอย่างมากกับยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงในสมัยเมจินั้น
ชินจิ นากามูระ อ่านเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้แล้วก็อดคิดถึงเรื่องราวของตนเองไม่ได้
เขาอ่านหนังสือเล่มนั้นไปจนถึงครึ่งเล่มอย่างรวดเร็วจนสายตาส่งสัญญาณเตือนถึงความเหนื่อยล้า
เขาตัดสินใจดับตะเกียง และล้มตัวลงนอน
ชินจิ นากามูระ ตื่นขึ้นในกลางดึก เขาได้ยินเสียงผู้คนมากมายที่ชั้นล่างของบ้าน มีใครบางคนกำลังจัดปาร์ตี้รื่นเริงอยู่
เขาลุกออกจากเตียง เดินลงมาชั้นล่างท่ามกลางความมืด ด้วยความหวาดกลัวว่าจะไปกระทบกระเทือนงานเลี้ยงของคนเหล่านั้น
แต่เมื่อเขาลงมาถึงพื้นชั้นล่าง เสียงทั้งหลายก็เงียบลง สิ่งที่เขาพบเห็นคือมีเพียงโต๊ะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางบ้าน บนโต๊ะนั้นมีจานชามพร้อมตะเกียบถูกจัดวางอยู่สิบสามที่นั่ง แต่ไม่มีบุคคลใด
นอกจากโต๊ะตัวดังกล่าวและอุปกรณ์รับประทานอาหารแล้ว ไม่มีผู้คน ไม่มีเสียงสนทนาใดๆ
ชินจิ นากามูระ ตัดสินใจกลับขึ้นไปชั้นบน เขาตั้งใจจะนอนหลับอีกชั่วครู่ เขาไม่รู้ว่าเป็นเวลาใดแล้ว แต่ร่างกายของเขาบอกว่าเขาควรพักผ่อนอีกสักเล็กน้อย
แต่เสียงสนทนากลับดังขึ้นอีก ชินจิ นากามูระ กลับลงมาที่ชั้นล่างอีกครั้งและปรากฏว่าในครานี้มีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ เธอมีทีท่าที่เกียจคร้าน และหวีผมของตนเองอย่างช้าๆ
เบื้องหน้าของเธอมีอาหารจานหนึ่งเป็นเต้าหู้ขาวราดด้วยผงดาชิแบบเดียวกับที่เขาถามเมื่อตอนเย็น
แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่สนใจอาหารดังกล่าว เธอยังคงหวีผมของเธออย่างช้าๆ ก่อนที่เธอจะหันมามองชินจิ นากามูระ และกลับไปหวีผมของเธอ
สายตาของเธอที่มองเขาราวกับเทพเจ้าที่มองดูมนุษย์ผู้ต่ำต้อย
แต่ชินจิ นากามูระ ไม่สนใจในทีท่าอันนั้น เขาสนใจแต่สายตาของเธอ