วงค์ ตาวัน | “ประยุทธ์” มีอะไรรออยู่ ?

วงค์ ตาวัน

หลังปีใหม่มีอะไรรออยู่

ครึ่งหลังของเดือนธันวาคม ก่อนผ่านพ้นปี 2563 สถานการณ์ด้านม็อบนักเรียน นิสิต นักศึกษา เงียบสงบไป ฟากรัฐบาลตีความอย่างดีอกดีใจ ว่าม็อบเด็กแผ่วแล้ว โดนคดีเข้าไปหนักๆ ชักถอดใจแล้ว

ข้อเท็จจริงก็คือ ในการชุมนุมเมื่อตอนต้นเดือนธันวาคม แกนนำประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า จะหยุดพักม็อบ เนื่องจากเป็นช่วงการสอบ ประกอบกับจะเข้าสู่เทศกาลปีใหม่แล้ว คงจะยังไม่เคลื่อนไหวอะไร

“รอหลังปีใหม่ 2564 รับรองจะกลับมาอย่างเบิ้มๆ แน่”

พอดิบพอดี สถานการณ์โควิดแพร่ระบาดรอบใหม่ จากมหาชัย ขยายวงไปหลายสิบจังหวัด ถ้ายังคงมีม็อบอยู่ ต้องถูกหยิบประเด็นการแพร่ระบาดโรคมาถล่มโจมตีแน่ๆ

เท่ากับว่า เมื่อย่างเข้าสู่ปี 2564 โควิดคงยังออกฤทธิ์ต่อเนื่อง ถ้าควบคุมได้ดี น่าจะใช้เวลาราว 1-2 เดือน

“เป็นไปได้มากที่คณะราษฎรอาจจะยังต้องหยุดพักรอให้ไวรัสซาไปก่อน เพื่อตัดเงื่อนไขการสร้างประเด็นโจมตีจากฝ่ายรัฐบาล ด้วยอาศัยโควิดเป็นเครื่องมือ”

เห็นได้จากเกมการเมืองในคณะกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังอ้างเรื่องโควิดมาเลื่อนประชุมหลายหน

จนน่าเชื่อว่า จะไม่สามารถพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญได้ทันตามกรอบเวลา ดีไม่ดีเตะถ่วงไปเรื่อย ด้วยลึกๆ แล้ว คงไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญนั่นเอง

โควิดที่กลับมาแพร่ระบาดรอบใหม่ ซึ่งเป็นการกลับมาด้วยความผิดพลาดจากการควบคุมพื้นที่ชายแดน ทั้งที่รู้กันดีว่ามีการระบาดหนักในพม่าเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยลามต่อเนื่องมาจากอินเดีย

“แต่ผลที่ตามมา ก็ทำให้นักเล่นเกมการเมือง ฉกฉวยเอามาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลได้ส่วนหนึ่ง”

อีกส่วนหนึ่ง การเน้นย้ำมาตรการป้องกันโรค เรื่องห้ามชุมนุมรวมตัวผู้คนจำนวนมาก ก็น่าจะส่งผลให้ม็อบนักเรียน-นักศึกษาที่เตรียมจะกลับมาเคลื่อนไหวเมื่อเข้าสู่ปีใหม่

คงต้องชะงักพักม็อบต่อไป จนกว่าโควิดจะเบาลง

แต่หน่วยข่าวกรอง หน่วยงานความมั่นคง อย่าได้ตีความหรือรายงานผู้นำรัฐบาลอย่างเข้าข้างตัวเองหรือเอาอกเอาใจกันเป็นอันขาด

อย่าได้คาดคะเนว่า การใช้วิธีดำเนินคดีหนักๆ หลายคดีหลายข้อหา จะหยุดยั้งเด็กรุ่นใหม่อันร้อนแรงเหล่านี้ได้!

แต่ในอีกด้านหนึ่ง สถานการณ์โควิดสร้างผลลบต่อรัฐบาลเช่นกัน ประการแรก โควิดที่ท่าขี้เหล็ก เชียงราย เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน อาจจะใช้วิธีโทษกลุ่มหญิงสาวที่ลักลอบข้ามแดนไปทำงานสถานบันเทิง

โยนใส่ว่า เพราะคนกลุ่มเดียวที่ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ สร้างปัญหาให้ส่วนรวม

แต่เหตุการณ์สมุทรสาคร จะมากล่าวอ้างว่า เพราะเรามีกลุ่มคนชั่ว เพราะมีแก๊งลักลอบขนคนงานข้ามแดน เป็นต้นเหตุของการระบาดโควิด ปรากฏว่า กลายเป็นกระแสตีกลับ

“หลายฝ่ายประสานเสียงตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ว่า เป็นคนที่ไม่เคยโทษตัวเองเลย เอาแต่โทษคนอื่น”

รู้ทั้งรู้ว่า ช่วงเดือนกันยายน เกิดระบาดใหญ่ในพม่า แล้วอุตสาหกรรมไทย เกษตรกรรมไทย ประมงไทย ต้องพึ่งพาแรงงานพม่าอย่างขาดไม่ได้

แต่ไม่มีมาตรการควบคุมชายแดนให้เข้มข้น

ส่วนหนึ่งตำรวจถูกระดมเข้ามารักษาความมั่นคงให้รัฐบาลในช่วงม็อบนักเรียน-นักศึกษาเคลื่อนไหวหนัก

อีกส่วน หน่วยกำลังหน่วยอื่นก็ไม่มีการสั่งกำชับให้ตรวจตราชายแดนจริงจัง

“เป็นความผิดพลาดบกพร่องของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง หนนี้จึงจะไปโทษคนชั่วกลุ่มเดียวอะไรไม่ได้อีกแล้ว”

ทั้งยังส่งผลถึงสิ่งที่โอ้อวดมาตลอดว่า เราเก่งด้านการควบคุมโควิดได้อยู่หมัด เพราะสุดท้ายก็เกิดระบาดรอบใหม่จนได้ จากความบกพร่องด้านชายแดนและการดูแลแรงงานข้ามชาติ

ที่สำคัญ โอกาสที่เศรษฐกิจจะเริ่มโงหัวได้บ้าง จากการท่องเที่ยวในปีใหม่ ก็พังทลายอย่างสิ้นเชิง

จากนี้ไปอีกพักใหญ่ เศรษฐกิจก็ยังจะทรุดไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัญหาโควิด และที่สะสมมาตลอดปี 2563 หรือจะบอกว่าทรุดต่อเนื่องมา 5-6 ปีจากพิษการรัฐประหารและการปกครองโดยรัฐบาลทหาร คสช.ก็ว่าได้

“เศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาตลอด จะฟื้นได้หรือไม่ในปี 2564 นี้ ใครก็เห็นคำตอบได้ไม่ยาก”

ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องในความเป็นจริง ต่อให้ระดมทำโพลแนวสวยหรูว่า ประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชอบรัฐบาลนี้ พอใจในผลงานรัฐบาลนี้

มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยจากสภาพเงินทองในกระเป๋าประชาชน!

สภาพความยากลำบากในชีวิตความเป็นอยู่ เริ่มหนักตั้งแต่ส่งท้ายปีเก่า 2563 เข้าสู่ปีใหม่ 2564 เช่นนี้แล้ว กระแสของรัฐบาลจึงน่าเป็นห่วง

การกล่าวอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้หยุดความขัดแย้งได้ดีที่สุด เลิกพูดได้แล้ว เพราะวันนี้เป็นคู่กรณีโดยตรงกับคนรุ่นใหม่ที่เรียกหาการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย มีเสรีจริงๆ

จากนี้ไปอีกพักใหญ่ม็อบเยาวชนนักเรียน-นักศึกษาจะกลับมาใหม่ด้วยการยกระดับประเด็นต่อสู้ ที่ร้อนแรงมากกว่าปี 2563 ที่ผ่านมา

“โดยรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์จะตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายการต่อต้าน”

เหตุการณ์ส่งท้ายปี ที่ พล.อ.ประยุทธ์รอดพ้นคดีบ้านพักทหาร ยิ่งตอกย้ำว่า การเมืองไทยไม่เป็นเสรีประชาธิปไตย ไม่มีมาตรฐานเดียวกันในทางการเมือง และระบบราชการยังมีลักษณะอภิสิทธิ์ชนที่สูงกว่าคนทั่วไป

ทั้งโควิดและการตกต่ำของเศรษฐกิจ ยิ่งตอกย้ำว่า เราจำเป็นต้องมีรัฐบาลระดับที่สามารถงัดวิสัยทัศน์กว้างไกลทันสมัย มาออกนโยบาย สร้างโครงการระดับสั่นสะเทือนทั้งภูมิภาค เพื่อฉุดประเทศไทยให้พ้นจากหุบเหวทางเศรษฐกิจให้ได้โดยเร็ว

ดังนั้น เมื่อม็อบออกมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกหน จะกระตุกให้ทั้งสังคมไทยต้องตระหนักว่า เราจะจมอยู่กับสภาพเดิมๆ แบบนี้ต่อไปหรือ

“ถ้าการเมืองยังติดอยู่กับอำนาจนอกระบบ กองทัพยังพร้อมแทรกแซงการเมือง เราก็ยังล้าหลังต่อไป และนับวันจะยิ่งถอยหลังไปเรื่อย”

ข้อต่อสู้ของม็อบนักเรียน-นักศึกษา ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการเมืองระดับโครงสร้าง เพื่อให้มีการเมืองที่ดี เศรษฐกิจจะดี ชีวิตประชาชนจะดีขึ้นตามมา

จะเป็นคำถามให้คนในสังคมต้องขบคิดว่า จะยอมรับแบบเดิมๆ นี้ต่อไป มีการผูกขาดอำนาจไว้ที่คนกลุ่มเดียว รัฐธรรมนูญแก้ไม่ได้หรือแก้ไม่ทัน เลือกตั้งใหม่ก็ไม่พ้น พล.อ.ประยุทธ์ เพราะมี 250 ส.ว.รอโหวตให้

หรือควรจะเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ได้รัฐบาลที่เปิดกว้าง มีคนรุ่นใหม่ๆ ทันโลก เข้ามาช่วยกันบริหารประเทศ ให้หลุดพ้นจากความเสื่อมทรุดทั้งหลายทั้งปวง!