ที่สุดคดีปี 63 : ผอ.บุกปล้นทอง-ยิงดะ / จับตายจ่าคลั่งโคราช / บรรยินอุ้มฆ่าพี่ผู้พิพากษา

ย้อน 3 คดีดังปี 2563 ผอ.บุกปล้นทอง-ยิงดะ จับตายจ่าคลั่งโคราช บรรยินอุ้มพี่ผู้พิพากษา

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับปี 2563 ซึ่งถือเป็นปีที่มีความดุเดือดไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการเมือง การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยของกลุ่มก้อนทางการเมืองอื่นๆ การยื่นข้อเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ นำมาซึ่งการปะทะ และการจับกุมดำเนินคดีกับมวลชนจำนวนมาก

หรือกระทั่งเรื่องของโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ทั่วโลกต้องหยุดชะงัก และส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศให้ทรุดยาวข้ามปี

ขณะที่เหตุการณ์อาชญากรรมก็มีเรื่องราวมากมายหลายเรื่อง แต่ที่เด่นๆ ที่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง คงหนีไม่พ้น 3 กรณี

ประกอบด้วย ผอ.กอล์ฟ ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี บุกเดี่ยวปล้นทองภายในห้างสรรพสินค้า ก่อเหตุยิงประชาชนเสียชีวิตถึง 3 ราย ก่อนกลับไปใช้ชีวิตปกติ สอนหนังสือนักเรียนตามเดิม จนถูกแกะรอยจับกุมดำเนินคดี จนศาลพิพากษาประหารชีวิต

กรณีจ่าคลั่งที่ จ.นครราชสีมา ที่กราดยิงกลางเมืองโคราช เสียชีวิตถึง 30 ราย ก่อนถูกจับตายคาห้างสรรพสินค้าชื่อดัง

และกรณีอดีตรัฐมนตรีชื่อดังอย่าง พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ที่มีคดีติดตัวอื้อ ทั้งอุ้มฆ่าเสี่ยชูวงษ์ และคดีโอนหุ้น 300 ล้าน ก่อเหตุบุกอุ้มพี่ชายผู้พิพากษาไปต่อรองคดี ก่อนฆ่าเผาอำพราง

ในที่สุดก็หนีเงื้อมมือกฎหมายไม่พ้น ตร.จับกุมส่งฟ้องศาล ก่อนกลับคำมารับสารภาพ จนศาลพิพากษาประหาร แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต

ทั้งหมดเป็นคดีแห่งปี 2563

ประหาร ผอ.ร.ร.ปล้นทอง

สําหรับคดีบุกปล้นทองครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 9 มกราคม 2563 ในเวลา 20.45 น. ขณะที่ประชาชนจำนวนมากเดินเลือกซื้อจับจ่ายสินค้าภายในห้างโรบินสัน อ.เมือง จ.ลพบุรี ชายร่างสูงประมาณ 165 ซ.ม. สวมกางเกงลายพราง ใส่เสื้อแขนยาวสีดำ สวมหมวกไอ้โม่ง สะพายเป้ ถือปืนสั้นติดลำกล้องเก็บเสียง บุกเข้ามาที่ประตูทางเข้าห้าง

ก่อนเดินเข้ามาในห้างแล้วยิงใส่ รปภ.ที่อยู่หน้าห้างทองออโรร่า จังหวะนั้นกระสุนแฉลบไปถูก ด.ช. 2 ขวบที่เดินอยู่กับแม่ แล้วคนร้ายก็หันไปยิงใส่ครอบครัวของลูกค้าที่เลือกซื้อทอง จากนั้นจึงหันปืนกราดยิงไปยังพนักงานที่อยู่ในเคาน์เตอร์

เมื่อหลายคนล้มฟุบ ประชาชนในละแวกดังกล่าววิ่งหนีตาย คนร้ายรายนี้ก็กระโดดขึ้นไปบนเคาน์เตอร์ กวาดทองรูปพรรณไปจำนวนหนึ่ง ระหว่างนั้นยังยิงใส่พนักงานสาวที่ล้มลงไปด้วย

เมื่อกวาดทองไปได้จำนวนหนึ่ง ก็วิ่งกลับไปทางประตูเดิม โดยมีหัวหน้า รปภ.ที่อยู่บริเวณดังกล่าวพยายามมาล็อกประตูทางเข้า เมื่อคนร้ายเดินมาเจอก็ยิงใส่หัวหน้า รปภ.จนเสียชีวิต ก่อนทุบประตูเปิด แล้วขี่จักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ หลบหนีไปในความมืด

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่เกิน 1 นาทีครึ่ง!??

เมื่อเรื่องราวสงบแล้วตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวถึง 3 ราย บาดเจ็บอีก 4 คน

พร้อมกวาดทองไปได้ 28 บาท 2 สลึง มูลค่าประมาณ 5 แสนบาท

ขณะที่ขี่รถหลบหนีไปตามถนนเลี่ยงเมืองไปทางโพธิ์เก้าต้น ซึ่งจุดนั้นสามารถออกไป จ.สิงห์บุรี หรือ จ.อ่างทอง ก็ได้ อีกทั้งสามารถกลับเข้าเมืองลพบุรีได้เช่นกัน

ตร.เร่งสอบสวนโดยมุ่งเน้นไปที่อาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งก็คือปืน CZ P 01 Tactical” ขนาด 9 ม.ม. เป็นปืนที่มีราคาสูง ติดลำกล้อง

ใช้เวลาสืบสวน 13 วัน เช้าวันที่ 22 มกราคม เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม บุกจับนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือกอล์ฟ อายุ 38 ปี ผอ.โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี ขณะขับรถเก๋งบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 สีดำ ทะเบียน 7 กณ 493 กทม. ออกจากบ้านพักใน อ.เมือง จ.ลพบุรี เพื่อเดินทางไปสอนที่โรงเรียนใน จ.สิงห์บุรี

โดยหลักฐานสำคัญก็คือปืนซีแซด ในพื้นที่ จ.ลพบุรี ที่มีผู้ลงทะเบียนถือครองไว้กว่า 300 กระบอก พบว่า 1 ในนั้นเป็นของพ่อนายประสิทธิชัย ที่เป็นตำรวจนอกราชการ ก่อนจะตามเช็กรถจักรยานยนต์ฟีโน่ สีแดง-ขาว เป็นของพ่อตานายประสิทธิชัย

สอบสวนให้การรับสารภาพว่าทำลงไปเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย เพราะรายได้ไม่พอใช้กับวิถีชีวิตที่หรูหราติดสบาย

ต่อมาวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา ให้ลงโทษทุกกรรม รวมโทษทุกกระทง คงประหารชีวิตจำเลยสถานเดียว ปรับ 1,000 บาท พร้อมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ผู้เสียชีวิตทุกคน รวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนกว่าจะแล้วเสร็จ

จ่าคลั่งโคราช 30 ศพ

สําหรับเรื่องคดีจ่าคลั่ง เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 โดยตำรวจ สภ.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา รับแจ้งเหตุยิงกันตายที่บ้านเลขที่ 187 ม.3 บ้านถนนหัก ต.หนองจะบก อ.เมือง จ.นครราชสีมา

ที่เกิดเหตุพบศพ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ อายุ 48 ปี ผบ.พันกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 (บชร.2) ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ และนางอนงค์ มิตรจันทร์ อายุ 63 ปี แม่ยายของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ และพบนายพิทยา แก้วพรม นายหน้าที่ดิน ซึ่งเป็นลูกน้องนางอนงค์ ถูกยิงบาดเจ็บ

ซึ่งผู้ก่อเหตุคือ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี ทหารหน่วยกองพันกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ลูกน้องของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์

โดยปมการฆ่าโหดครั้งนี้เกิดจากที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ไปกู้เงินสวัสดิการกองทัพบกเป็นเงิน 1.5 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อบ้านในโครงการที่นางอนงค์เป็นเจ้าของในราคา 1.1 ล้านบาท โดยมีข้อตกลงว่าจะได้เงินส่วนต่าง หรือเงินทอนจำนวน 4 แสนบาทคืน

แต่รอแล้วรอเล่า ติดตามทวงถามไปกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งมีการนัดหมายมาเจรจา โดยมีเจ้านายของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ มาเป็นพยานร่วมไกล่เกลี่ย สุดท้ายก็เหลวอีก จนเป็นเหตุให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์ใช้ปืน 9 ม.ม.ที่เตรียมมายิงทั้งหมดด้วยความแค้น

หลังก่อเหตุคนร้ายก็ขับรถเก๋งของตัวเองมุ่งหน้าไปที่กองพันสรรพาวุธที่ 22 ในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ใช้ปืนจี้ทหารยาม ยึดปืนเอชเค พร้อมแม็กกาซีน ก่อนบุกไปยังกองพัน ยิงพลทหารโชคชัย มูลจันทา ทหารเวรรักษาคลังอาวุธปืนบาดเจ็บ แล้วขนอาวุธปืนใส่รถเก๋งขับไปหลังกองพัน เพื่อเปลี่ยนรถเป็นรถจี๊ปตรวจการณ์ของทหาร ทะเบียนกงจักร 2563 ขับพุ่งชนคลังกระสุน แล้วขโมยกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. 736 นัด ชุดประคองสายกระสุนเอ็ม 60 รวม 3 สาย

ขับรถเปลี่ยนเส้นทางออกไปทางด้านหลังค่าย มุ่งหน้าไปทางวัดป่าศรัทธารวม เมื่อถึงประตูด้านหลัง จ.ส.อ.จักรพันธุ์ที่ใช้ปืนกลเอ็ม 60 ยิงกราดใส่รถของ ด.ต.ชัชวาลย์ แท่งทอง ที่เข้ามาระงับเหตุ จนเสียชีวิตคาพวงมาลัยพร้อมกับอาสาสมัครตำรวจบ้าน พร้อมยึดวิทยุสื่อสารไปเพื่อดักฟังความเคลื่อนไหวของตำรวจ

แล้วกราดยิงประชาชนที่สัญจรไปมาเสียชีวิตอีกหลายราย

ก่อนบุกไปที่ห้างเทอร์มินอล 21 ก็ลงจากรถตรวจการณ์ กราดยิงใส่รถที่วิ่งไปมา และถ่ายไลฟ์เฟซบุ๊ก พร้อมพิมพ์ข้อความ ประกาศว่าจะสู้จนตัวตาย

สถานการณ์ดุเดือดท่ามกลางตัวประกันนับพันราย!!

กระทั่งเวลา 08.50 น. วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ขณะที่เจ้าหน้าที่บีบพื้นที่จนถึงชั้นในสุด เหลือเพียงแค่ห้องไฟฟ้า และห้องเย็น คนร้ายก็เปิดประตูห้องเย็นออกมายิงต่อสู้กับตำรวจ จนกระทั่งถูกจับตาย

ปิดฉากคืนหฤโหด ที่ต้องสังเวยไปถึง 30 ชีวิต

นำมาสู่การประกาศถึงการปฏิรูปกองทัพ ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ!!

อดีต รมช.อุ้มฆ่าพี่ผู้พิพากษา

ขณะที่คดีของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ ที่ก่อนหน้านี้เข้าไปพัวพันการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง กรรมการผู้จัดการบริษัท แสตนดาร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ จำกัด เสี่ยรับเหมาพันล้าน ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2558 ขณะที่ พ.ต.ท.บรรยินขับรถเลกซัส ทะเบียน 1889 กทม. ของนายชูวงษ์ โดยมีนายชูวงษ์นั่งมาด้วย พุ่งชนต้นไม้ที่ฝั่งตรงข้ามซอย 61 ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงและเขตสวนหลวง กทม.

ลามไปถึงการโอนหุ้นกว่า 300 ล้านบาทให้โบรกเกอร์และพริตตี้สาว อ้างว่าเป็นการโอนให้โดยเสน่หา เพราะมีลูกด้วยกัน แต่สุดท้ายถูกยื่นฟ้องต่อศาลว่ามีพิรุธ และก่อนที่คดีจะตัดสิน พ.ต.ท.บรรยินก็ก่อเหตุอุกอาจ ด้วยการบุกอุ้มฆ่านายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายผู้พิพากษา

โดยเตรียมอุปกรณ์ เช่น น้ำมัน ยางรถยนต์ สังกะสี อิฐบล็อก เพื่อไปใช้เผาทำลายศพนายวีรชัยที่บริเวณเขาใบไม้ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์

จากนั้นวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 พ.ต.ท.บรรยินแต่งชุดตำรวจไปดักรอนายวีรชัยที่หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ แล้วล็อกตัวนายวีรชัยจากหน้าศาลขึ้นรถโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ เพื่อนำตัวไปยัง จ.นครสวรรค์ ระหว่างทางนายวีรชัยดิ้นรนขัดขืนการควบคุมตัว นายณรงศักดิ์ที่นั่งอยู่เบาะหน้าคู่กับ พ.ต.ท.บรรยิน จึงหันไปต่อยนายวีรชัยให้หยุดการดิ้นรน แต่เป็นเหตุให้นายวีรชัยถึงแก่ความตาย

พ.ต.ท.บรรยินยังระบุว่า ไม่มีเจตนาจะก่อเหตุดังกล่าวเพื่อกระทบกระทั่งต่อองค์กรศาล หรือก้าวล่วง หรือดูหมิ่นเหยียดหยามองค์กรศาล แต่เป็นเรื่องเฉพาะตัวด้วยเห็นว่า น.ส.พนิดา ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในคดีอาญาของศาลอาญากรุงเทพใต้ ทำหน้าที่อย่างลำเอียง ขาดความเที่ยงธรรม และมีอคติกับตน ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าวโดยตลอด ทำให้เกิดความกดดันและขาดสติยั้งคิดจึงได้กระทำความผิดในคดีนี้

ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม 2563 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการกระทำของ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป โดยฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ให้ลงโทษประหารชีวิต แต่จำเลยให้การรับข้อเท็จจริงบางส่วนนับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว

ให้นับโทษจำคุกตลอดชีวิตในคดีนี้ ต่อจากโทษจำคุกคดีโอนหุ้นเสี่ยชูวงษ์ของศาลอาญากรุงเทพใต้

ลุ้นกันต่อในชั้นอุทธรณ์และฎีกา