เมืองถังแตก : มนัส สัตยารักษ์

ภาพข่าวเปิดบ้าน “ปิ่นประภาคม” นนทบุรี ให้นักข่าวเข้าสัมภาษณ์และร่วมอวยพรเนื่องในวันครบรอบวันเกิด 85 ปีของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี

ไล่มาติดๆ กับข่าวลือรัฐบาลถังแตก ไม่สามารถบรรจุพยาบาลเป็นข้าราชการได้ครบจำนวนหมื่นกว่าอัตรา

ตามหลังข่าวรัฐบาลถังแตก เพราะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ตั้งเงินเดือนให้พรรคพวก คสช. ในแม่น้ำทั้ง 5 สายเสียสูงลิ่วถึงกว่าคนละแสนสองหมื่นบาทต่อเดือน

ข่าวรัฐบาลต้องเตรียมเงินไว้ซื้อเรือดำน้ำทั้งที่ประชาชนเห็นว่ายังไม่จำเป็นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจของประเทศกำลังตกต่ำ

ข่าวจะให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี เพราะหมดปัญญาหาเงินมาบรรจุงบประมาณ ซึ่งสื่อปากร้ายใช้ถ้อยคำว่า “ไทยต้องขายชาติ 99 ปีเพราะถังแตก”

ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเงียบสงบไปพักใหญ่เนื่องจากป่วยอยู่ในโรงพยาบาล มีข่าวเปิดบ้านให้สัมภาษณ์ เสียงและภาพข่าวออกสื่อในระหว่างบรรยากาศ “รัฐถังแตก” พอดี ทำให้ผมที่กำลังงัวเงียอยู่ต้องตกใจผวาตื่นขึ้นมาติดตาม

ติดตามว่าท่านจะเสนอตัวขอช่วยชาติแก้ปัญหารัฐบาลถังแตกอย่างไร ในฐานะผู้มีประสบการณ์เคยทำให้รัฐบาลถังแตกมาแล้วครั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ 20 ปีก่อน (ฮา)

ผมจำวิกฤตครั้งนั้นได้ดีทั้งที่เวลาได้ผ่านมานาน เพราะว่าผมเกษียณอายุปี 2540 ปีที่รัฐบาลถังแตกพอดี และผมไม่ได้รับเงินตามที่ควรจะได้รับถึง 2 เดือน!

เห็นหน้าท่านนายกฯ คนนี้ออกทีวีเมื่อใดจะเกิดอาการผวาอย่างคน ปสด. ทุกที

จําได้ว่า ก่อนจะเกษียณอายุไม่นานเจอรุ่นน้อง นรต. คนหนึ่งที่เกษียณอายุก่อนผม แต่เรียกผมว่า “พี่” มาโดยตลอดจนเป็นนายพล เจอกันหลังเกษียณท่านแจกนามบัตรระบุว่าเป็นเจ้าของและผู้จัดการบริษัทรักษาความปลอดภัย พลิกอีกหน้าหนึ่งของนามบัตรบอกว่าเป็นผู้จัดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

“โอ้โฮ ทำไมขยันจัง” ผมทัก

“ตำรวจท้องที่อย่างเราเหมือนปาด ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา” เขาว่า

“ผมเหมือนปาดครับพี่ ไม่กล้าอยู่เฉยๆ กลัวน้ำมันเคลือบผิวมันแห้งแล้วกระดิกตัวไม่ได้”

เพื่อน นรต. ร่วมรุ่นที่เกษียณไปก่อนคนหนึ่ง เป็นตำรวจภูธรจน หลังจากทักทายสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาเพื่อนร่วมอาชีพแล้วเขาแนะนำว่า

“ปีหน้านายเกษียณใช่ไหม…ก่อนเกษียณนายควรจะมีเงินอยู่ในบัญชีเอทีเอ็ม อย่างน้อยก็สักสองแสน”

“ทำไมหรือ”

“ถ้าไม่มีมันเครียดว่ะ จะทำอะไรก็ไม่ค่อยกล้าทำ มันไม่ได้พักผ่อนสบายอย่างที่คิดหรอก อย่างน้อยเราต้องมีสุขภาพที่ดี บ้านหรือรถอยู่ในสภาพที่ไม่ต้องซ่อม เราไม่เคยคิดเตรียมตัวไว้ก่อน มันก็เลยขลุกขลักทุลักทุเลอยู่พักใหญ่กว่าจะปรับตัวปรับใจได้”

ผมไม่เคยคิดเตรียมการหรือวางแผนจะทำอะไรหลังเกษียณ คิดเพียงว่าน่าจะมีเวลาดูรูปเขียนหรือเขียนรูป อ่านหนังสือหรือเขียนหนังสือเท่านั้น

สิ่งที่ตั้งใจจะทำก็มีแค่ไม่เข้าร่วมพิธีร่ำลาราชการเท่านั้น

วันเกษียณเขามีพิธีอะไรสักอย่างทำนอง “ปลดปล่อย” หรือบอกลาราชการ ผมเห็นชื่อประธานในพิธีเป็นนักการเมืองตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยก็เรียนท่านผู้บังคับการ ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดไปว่า จะไม่ไปร่วมพิธี

น้องตอบมาทันที “ผมก็คิดอยู่แล้วว่าพี่ไม่ไป ผมรายงานขัดข้องไปนะครับ”

ผมยศ “พันตำรวจเอก” เท่ากับเพื่อนข้างต้น เงินบำนาญก็ประมาณ 3 หมื่นพอกัน ที่แน่ๆ ก็คือจะน้อยกว่าเงินประจำเดือนที่เคยรับก่อนเกษียณ 1 หมื่นบาท (ตัดค่าบริหารที่รัฐไม่ต้องจ่ายออกไป)

ผมคิดว่าถึงจะไม่มีสองแสนก็น่าจะพออยู่ได้โดยไม่ฝืดเคือง มองในส่วนดีที่เห็นชัดๆ ก็คือเราไม่ต้องเติมน้ำมันรถไปทำงาน ไม่ต้องกินของแพงใกล้ที่ทำงาน ชงกาแฟกินเองกับไข่ต้มหรือไข่ลวก มื้อเที่ยงถ้าไม่อยากออกไปไหนก็กินข้าวกับไข่เจียวง่ายๆ ที่บ้าน

แต่ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายอย่างทำไข่ต้มหรือไข่ลวก ผมกับเพื่อนข้าราชการเกษียณจำนวนหนึ่งไม่ได้รับเงินบำนาญใน 2 เดือนแรก… ข่าวลือที่ว่าประเทศไทยกำลังล้มละลาย หรือรัฐบาลถังแตกเป็นจริง!

ไม่น่าเชื่อว่า พันตำรวจเอกวัย 60 ต้องกลับไปตกอยู่ในสภาวะเดียวกับว่าที่ร้อยตำรวจตรีวัย 22 มันเหมือนกับสภาวะที่เรียกว่า “เซ็ตซีโร่” กลับไปนับหนึ่งใหม่

แต่ผมยังโชคดี ที่ อาจารย์อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช (พล.ต.อ.) ทราบล่วงหน้าถึงวิกฤตของรัฐบาลครั้งนี้ ท่านได้โทรศัพท์แจ้งให้ผมทราบพร้อมกับขอเลขบัญชีธนาคาร เมื่อผมเกษียณแล้วท่านได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร 6 หมื่นบาทเป็นการส่วนตัว ให้ผมคืนเมื่อได้รับตกเบิกแล้วโดยไม่ถูกเร่งรัดแต่อย่างใด

แม้ส่วนตัวจะผ่านพ้นวิกฤตมาได้ ปัจจุบันเงินบำนาญก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 3 หมื่น 6 พันเศษ แต่คุณภาพชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด และตลอดเวลาที่ผ่านมายังอดที่จะวิตกไม่ได้เมื่อมีข่าวทำนองว่ารัฐบาลกำลังจะถังแตกอีกแล้ว

ผมเริ่มเข้าใจแจ่มแจ้งถึงคำแนะนำของเพื่อน นรต. ที่ว่าเราควรมีเงินเหลืออยู่ในบัญชีบ้างก่อนเกษียณอายุ คำพูดของเพื่อนขลังและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ

อายุแค่ 60 กว่าไปเที่ยวเมืองจีน ผมต้องพลาดดูสิ่งของและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่งเพราะสุขภาพเอวเสื่อมโทรม เดินไกลไม่ได้ อดเข้าไปดูสุสานรูปปั้นนักรบ ต้องนั่งอ่านคู่มือท่องเที่ยวอยู่ในรถทัวร์ ผมเดินขึ้นกำแพงเมืองจีนไม่ไหว ได้แต่แหงนมองด้วยความเสียดาย

อายุ 70 ต้องผ่าตัดทำบายพาสเปลี่ยนเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ 3 เส้น

เด็กกะเหรี่ยงไว้ใจได้ ทำงานบ้านสะอาดและทำอาหารปักษ์ใต้อร่อย ขอลาออกไปทำงานบ้านอื่นเพราะเขาให้เงินเดือนหมื่นกว่า ก็ต้องยินดีให้เขารีบไป

เพื่อนนักเขียนคนหนึ่งร้องโวยวายเมื่อรู้ว่าพันตำรวจเอก (พิเศษ) รับบำนาญแค่เดือนละ 3 หมื่น เขาพึมพำว่า “ผมนึกว่ามากกว่านี้”

ผมบอกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันเป็นนายทหารยศพลเอก เป็นวีรบุรุษตัวจริงในสงครามเวียดนามจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด หรือนายตำรวจรุ่นน้องย้ายวนเวียนอยู่ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นสิบปี เกษียณด้วยยศพลตำรวจโท ต่างก็มีบำนาญประมาณแค่ 7 หมื่นเท่านั้น ไม่มีใครได้เป็นแสนหรือแสนสอง (อย่างคนของแม่น้ำ 5 สาย) สักคน

นี่สิที่น่าโวยวายกว่า เพราะพวกเงินเดือนแพงเขาไม่ออกง่ายๆ อยู่ไปนานๆ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงกว่าค่าบรรจุพยาบาลหมื่นคน (เงินเดือนแค่ 1 หมื่น 5 พันบาทเท่าเด็กกะเหรี่ยง) และต่อไปอาจจะแพงและสิ้นเปลืองกว่าค่าเรือดำน้ำเสียด้วยซ้ำ

ขอบคุณอดีตนายกรัฐมนตรี “บิ๊กจิ๋ว” ที่ปีนี้ท่านไม่ได้ออกทีวีอาสาช่วยชาติ (ให้ผมต้องผวาและฝันร้าย) และจะขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน “บิ๊กตู่” ด้วย ถ้าท่านจะไม่ออกทีวีเหมือนนายกรัฐมนตรีรุ่นพี่