เครื่องเคียงข้างจอ : ที่สุดของปี 2563 / วัชระ แวววุฒินันท์

วัชระ แวววุฒินันท์

ที่สุดของปี 2563

เป็นข้อนิยมในช่วงสิ้นปีอย่างนี้ที่จะมีการสรุปเรื่องราว ข่าวคราวของสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่กำลังจะผ่านพ้นไป รวมทั้งการจัดอันดับต่างๆ ด้วย

เครื่องเคียงข้างจอฉบับนี้ก็ขอร่วมกับเขาด้วย ด้วยการประกาศ “ที่สุดของปี” ตามความเห็นของผู้เขียนเอง

เริ่มจาก “ทรงอิทธิพลที่สุดของปี 2563”

ผู้ได้รับรางวัลนี้ไปไม่ใช่บุคคล แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “ไวรัสโคโรนา” หรือ “โควิด-19” นั่นเอง

นับแต่ “โควิด-19” ปรากฏโฉมให้โลกมนุษย์รู้จัก เมื่อนั้นปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้น และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นแบบพลิกฝ่ามือกันเลยทีเดียว

จากที่ทุกประเทศในโลกวางแผนของการขับเคลื่อนประเทศ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ไว้ในทิศทางต่างๆ ก็เป็นอันโดนตีเข้าแสกหน้าอย่างจังทันที เมื่อประเทศจีนประกาศให้โลกรู้ถึงโรคระบาดตัวนี้

ประเทศไทยเองที่ฝันถึงการเติบโตจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เป็นเปอร์เซ็นต์สูงสุดของตัวเลข GDP ของประเทศคือราว 20% ส่วนการส่งออกนั้นกินไปถึง 70%

เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางไม่ได้ นักธุรกิจบินมาทำธุรกิจไม่ได้ สินค้าส่งออกไปขายไม่ได้ เมื่อนั้นก็เหมือนประเทศไทยถูกดึงปลั๊กเครื่องช่วยหายใจออก

เจ้า “โควิด-19” นี้ทรงอิทธิพลขนาดที่ทำให้ทั้งโลก “หยุดความเคลื่อนไหว” บนฟากฟ้าที่เคยมีเครื่องบินนับพันเที่ยวบินต้องหยุดชะงักลง

นั่นคือจุดจบของสายการบินขนาดใหญ่และเล็ก ที่ต้องล่มสลายลงไม่เว้นแม้แต่สายการบินแห่งชาติ อย่าง “การบินไทย” ของเราตามที่เป็นข่าว

คนหยุดเคลื่อนไหว รถราหยุดวิ่ง คนอยู่นิ่งๆ กับที่ อากาศและสิ่งแวดล้อมของโลกดีขึ้นอย่างฉับพลัน ท้องฟ้าสะอาด น้ำใส หลายแห่งสัตว์ป่าออกมาเยือนให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกัน

ประเทศมากมายเคยรวมตัวกันเรียกร้องให้ช่วยพลิกฟื้นสิ่งแวดล้อมโลกแต่ก็ไม่เคยทำได้ แต่เจ้า “โควิด-19” มาทีเดียวทำได้เลย ทรงอิทธิพลจริงๆ

เหมือนที่บริษัทหลายแห่งพบว่า CEO กระตุ้นให้พนักงานปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อใช้เทคโนโลยีในการทำงานให้เป็น ก็ไม่ใคร่ได้ผลนัก แต่ “โควิด-19” สามารถทำให้คนรู้จักการทำงานทางออนไลน์มากขึ้น รู้จักแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ อย่าง zoom รู้จักการทำงานแบบ work from home

เจ้าโควิด-19 จึงได้รับตำแหน่ง Super CEO ตัวจริง

ไม่เท่านั้น “โควิด-19” ทำให้การแพทย์ต้องปรับกระบวนการศึกษาโรค เรียนรู้ในการรับมือ และต่อสู้กับไวรัสพันธุ์ใหม่ ที่จะเป็นแม่แบบในการรับมือกับโรคระบาดในอนาคตต่อไป บุคลากรทางการแพทย์กลายเป็นผู้มีเสียงอันดัง ในการจะบอกกล่าวเตือนภัยกับโลกได้ และคนส่วนใหญ่พร้อมจะฟัง นอกจากบางคนที่ดื้อดึง เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นต้น

จนถึงวันนี้ความทรงอิทธิพลของเจ้าโควิดนี้ได้ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 75 ล้านคนเข้าไปแล้ว มากกว่าจำนวนประชากรของไทยเสียอีก และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 1.7 ล้านคน และยังมีทีท่าจะแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นไปอีกจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ รวมทั้งในไทยเองด้วยที่กำลังผวากับผู้ติดเชื้อจากสมุทรสาคร ต่อจากที่ผวาจากเชียงรายมาแล้ว

ในระดับครอบครัว โควิดมีอิทธิพลที่สร้างผลอย่างมาก มีตัวเลขที่ระบุว่าหลายครอบครัวมีการทะเลาะเบาะแว้งมากขึ้น เพราะสามี-ภรรยา หรือผู้ปกครองกับเด็กมีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น มีเรื่องให้ได้ขัดใจ ไม่พอใจ จี้ต่อมอารมณ์เดือดมากกว่าแต่ก่อน เชื่อไหมว่าส่งผลขนาดถึงขั้นหย่าร้างกันก็มี

แม้ตอนนี้ที่เริ่มมีการใช้วัคซีนบ้างแล้วในบางประเทศ แต่เชื่อเถอะว่า เจ้า “โควิด-19” จะยังทรงอิทธิพลและส่งผลไปอีกนาน

ต่อมาคือ “ดื้อผสมงงที่สุด”

ได้แก่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ที่กำลังจะกลายเป็นอดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในเร็ววันนี้
สำหรับเหตุผลของการได้รับรางวัลดังกล่าวคงไม่ต้องพูดมาก เพราะจากพฤติกรรมของทรัมป์ที่มีมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อ 4 ปีก่อน เขาก็จะสร้างความ “ดื้อด้าน” ผสมความ “งงงวย” ให้กับมิตรรักแฟนเพลงมาโดยตลอด

ดื้อกับความคิดที่ว่า “เรื่องโลกร้อนไม่มีจริง” และปฏิเสธให้เห็นด้วยการไม่ลงนามในสัญญา “ความตกลงปารีส 2015” ในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร่วมกับเกือบ 200 ประเทศที่เห็นความสำคัญนี้

ด้านกับการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถึงแม้จะพยายามตะโกนว่าถูกโกงๆ แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐานอะไรมาเป็นเครื่องพิสูจน์ จนผู้เกี่ยวข้องเอือมระอาไปตามๆ กัน

“งงงวย” ในกระบวนการความคิดต่างๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาใช้ตรรกะส่วนไหนมาคิด อย่างเช่น เคยบอกกับโลกดังๆ ว่า ไวรัสโคโรนาไม่มีจริง แล้วต่อมาก็บอกว่ามีจริงและจีนเป็นผู้ทำให้มันเกิดขึ้นมา ต้องรับผิดชอบนะโว้ย ต่อมาก็บอกว่าไม่ต้องตื่นตระหนก เป็นโรคไม่น่ากลัว และตนก็ไม่สวมหน้ากากอนามัยด้วย ครั้นสุดท้ายตัวเองเอาไม่อยู่ โรคลุกลามจนจำนวนผู้ติดเชื้อของอเมริกามีจำนวนมากที่สุดในโลกมาโดยตลอด และทรัมป์เองก็ติดโควิดจนได้

เมื่อหายก็ลุกออกมาพูดในตอนหาเสียงว่า ดีที่ตนเองบริหารประเทศนะ ไม่งั้นจะมีผู้ติดเชื้อมากกว่านี้อีก เฮ้ย…กล้าพูดได้ยังไง ทั้งที่ความจริงมันสวนกับสิ่งที่พูดโดยสิ้นเชิง

ไม่นับความงงงวยกับพฤติกรรมอื่นๆ ที่ขัดกับความเป็น “ผู้นำชาติมหาอำนาจของโลก” โดยสิ้นเชิง ทั้งการโกหกปลิ้นปล้อน ทั้งการใช้คำพูดก่อศัตรูจนเกินเหตุ ทั้งบุคลิกห่ามๆ ไร้มรรยาท

ไม่รู้ว่าเมื่อหลุดพ้นตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วจะยังแผลงฤทธิ์อะไรให้เรางงงวยอีกไหม?

ฉะนั้น “โดนัลด์ ทรัมป์” จึงเหมาะสมกับรางวัล “ดื้อผสมงงที่สุด” ไปครอง โดยไม่รู้ว่าจะมีใครมาเทียบเคียงได้เช่นนี้อีกไหม

ต่อมาคือ “สีสันที่สุด”

ผู้ที่ได้รับไปคือ “กลุ่มม็อบราษฎร”

ต้องยอมรับว่าปีนี้เหล่างานอีเวนต์ทั้งหลายล้วนหดหายไปโดยปริยาย จากผลพวงของโควิดนั่นเอง สีสันที่มาจากครีเอทีฟในงานอีเวนต์ก็พลอยเหือดแห้งไปด้วย

แต่ก็ได้กลุ่มม็อบราษฎรมาช่วยสร้างสีสันทดแทน สังเกตได้ว่าตั้งแต่เริ่มมีการรวมตัวกันประท้วงรัฐบาลที่ท้องสนามหลวงเป็นต้นมา ได้มีการนำเสนอความคิดในการแสดงออกที่แหวกขนบแนวทางเดิมๆ ของการชุมนุมทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง จนนับว่าเป็น New Normal ของการชุมนุมก็ว่าได้

เช่น เป็นการชุมนุมแบบแฟลชม็อบ นัดกันมา ทำกิจกรรมร่วมกัน แล้วก็สลายตัวกลับบ้าน วันหลังค่อยนัดกันใหม่ ในที่ใหม่ กับกิจกรรมใหม่ เหมือนงานออกค่ายทำกิจกรรมของเยาวชนยังไงยังงั้น

และแต่ละครั้งก็มีการนำเสนอสีสันหลายแบบ ทั้งการแต่งกาย ทั้งการแสดงบนเวที ทั้งคำที่คิดขึ้นมาในการนัดหมาย หรือที่ติดแฮชแท็ก รวมทั้งอุปกรณ์ประกอบต่างๆ เรียกเป็นขบวนแฟนซีก็ไม่ปาน

ส่วนกิจกรรมที่เป็นไคลแมกซ์ก็สรรหามานำเสนอ ทั้งตอกหมุดกลางสนามหลวง ทั้งทุบศาลพระภูมิ ทั้งเข้าทรงเชิญวิญญาณนักปฏิวัติ ทั้งสาดสีใส่ป้าย เขียนบนถนน และอื่นๆ อีก ที่หลายคนจับตาดูว่าแต่ละครั้งจะมามุขไหน ไม้ไหน

ไม่ได้บอกว่านี่ดีหรือไม่ดีนะครับ แต่ต้องยอมรับว่าเหล่านี้คือ “สีสัน” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างมากในช่วง 2-3 เดือนมานี้ ดังนั้นรางวัล “สีสันที่สุด” ประจำปีนี้จึงตกแก่ “กลุ่มม็อบราษฎร” โดยประการฉะนี้

สําหรับรางวัลสุดท้ายคือ “อยู่ยงคงกระพันที่สุด”

อะไรที่ว่าแน่ อะไรที่ว่าเหนียว คงไม่อาจมาหาญสู้ผู้ที่ได้รับรางวัลนี้แน่นอน นั่นคือ “หวยรัฐบาล” ไม่ว่าโควิดจะมาจะไป ไม่ว่าทรัมป์จะอาละวาดกับโลกแค่ไหน ไม่ว่าม็อบจะมีสีสันเพียงไร แต่ “หวย” ก็ยังคงอยู่ในมโนสำนึกของคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศไม่เปลี่ยนแปลง

ทะเบียนรถนายกฯ ต้นตะเคียนให้เลข สัตว์พิการให้โชค ดารา-นักร้องใบ้เลขเด็ด ล้วนอยู่ในกระแสและความสนใจในทุก 15 วันมาโดยตลอด

ขนาดเขาเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 อยู่อีกซีกโลกหนึ่ง พี่ไทยเรายังจับมาแทงหวยและรับทรัพย์กันแล้ว

ฉะนั้น “หวยรัฐบาล” จึงสมควรได้รับรางวัล “อยู่ยงคงกระพัน” นี้อย่างแท้จริง

รึใครจะเถียงก็ว่ามา แฮ่ม