ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 ธันวาคม 2563 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทบาท เด่นชัด โจวเซวียนซิง (77)
ไม่ว่าการมา ไม่ว่าการอำลาจากนครจินหลิงของโจวเซวียนซิง มากด้วยปริศนา สร้างความงุนงงสงกาให้เป็นอย่างสูง คล้ายว่าท่านผู้เฒ่าออกจากวัดหลิ่งอินเป็นมู่เสี่ยวหวังเยนำรถไปรับด้วยตัวเอง
หลังเข้าพักในจวนมู่หวังก็ไม่ยอมให้ผู้ใดพบ กระทั่งอวี้หวังก็ไม่ยกเว้น
“ไห่เยี่ยน” ระบุว่า ผู้เฒ่าโจวเซวียนซิงที่แท้เป็นผู้ใดเชื้อเชิญมา เคยพบใคร หรือไม่เคยพบใครล้วนไม่สลักสำคัญ ที่สำคัญก็คือ ด้วยฐานะผู้มีภูมิปัญญาสูงส่งยามเดินเข้าท้องพระโรง
แม้แต่จักรพรรดิเหลียงยังต้องทรงต้อนรับเป็นอย่างดี
เมื่อเป็นเช่นนี้กรมพิธีการไหนเลยต้านทานอยู่ แม้แต่เหยียนอวี้จินที่มีนิสัยแหกคอกไม่ยึดติดในธรรมเนียมยังวิเคราะห์ออกมาล่วงหน้าว่า รัชทายาทพ่ายแพ้แน่แล้ว
สุดท้ายการอภิปรายกลางท้องพระโรงซึ่งดำเนินมาได้ 3 วันก็ปิดม่านลง
เยว่ผินแม้ได้รับการฟื้นฟูตำแหน่ง แต่ขณะประกอบราชพิธีบวงสรวงไม่อาจยืนเสมอกับองค์จักรพรรดิและหวงโฮ่วบนปะรำพิธี หลังจากรัชทายาทรดสุราบวงสรวงเพียงประคองจักรพรรดิ หวงโฮ่ว
เด่นชัดว่าที่ผ่านมากรมพิธีการบกพร่องในหน้าที่
เฉินหยวนเฉิง เดิมสมควรถูกปลดจากตำแหน่ง แต่เห็นว่าอายุมากอนุญาตให้เกษียณตัวเอง ไม่สืบสาวเอาความ ส่วนรัชทายาทเพราะกำเนิดจากอนุถูกอวี้หวังตอกย้ำหลายครั้งกลางท้องพระโรง
บังเกิดความอับอายแทบแทรกแผ่นดิน
สุดท้ายระงับอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าอวี้หวังไป 1 ฉาด จึงถูกจักรพรรดิเหลียงดุด่าต่อหน้าเหล่าขุนนาง ท่ามกลางความวุ่นวายมีเพียงจิ้งหวังที่ยืนสงบเงียบมองดูเหตุการณ์ด้วยสายตาเย็นชา
ท่าทีเยือกเย็นไม่สะทกสะท้านแม้ยามถูกลบหลู่สร้างความประทับให้กับบรรดาขุนนางใหญ่น้อย
สภาพที่เห็นและเป็นอยู่ ณ เบื้องหน้าของทุกฝ่ายก็คือ กรมคลังเพิ่งเปลี่ยนเจ้ากรมไปได้ไม่นาน กรมพิธีการก็กลายเป็นกรมถัดมาที่ต้องเปลี่ยนเจ้ากรมด้วยเหตุอันเพิ่งปรากฏขึ้น
ขณะที่เฉินหยวนเฉิงปลดหมวกประจำตำแหน่งซึ่งสวมใส่มานานกว่า 20 ปีลง
จิ้งหวังคล้ายมองเห็นมือขาวซีดที่ชักใยอยู่เบื้องหลังรางๆ พร้อมกับใบหน้าหนึ่งซึ่งมีแต่ความเย็นชาเฉยเมยราวกับไม่มีสิ่งใดกระตุ้นให้บังเกิดอารมณ์ความรู้สึกได้ตลอดกาล
แต่คนจำนวนมากไม่มีวันรู้ว่าในเหตุการณ์ยังมีการดำรงอยู่ของซูเจ๋อที่ค่อยๆ ทำตัวเงียบเชียบลง
อีก 2 วันต่อมาเป็นยามเช้าอันปลอดเมฆ ประตูเมืองเพิ่งเปิดกว้าง เหล่าทหารเฝ้าประตูก็เห็นรถม้าเลิศหรูคันหนึ่งภายใต้ทหารคุ้มกันนับร้อยแล่นตะบึงมาด้วยความเร็ว
ต่อให้ไม่รู้จักป้ายสัญลักษณ์จวนมู่หวังก็ต้องทราบว่าผู้มาไม่ใช่คนธรรมดา
เพราะอากาศหนาวเย็น คนขับรถม้าถึงกับหายใจออกมาเป็นไอขาวหอบแล้วหอบเล่า แต่ภายในห้องโดยสารเพราะม่านผ้าอันหนาหนักและยังมีเตาให้ความอุ่นจึงไม่ปรากฏความหนาวเย็นแต่อย่างใด
ผู้โดยสารในรถ หนึ่งเป็นผู้เฒ่าสูงอายุ หนึ่งเป็นหนุ่มน้อยวัยเยาว์
คนหนึ่งสวมใส่ชุดผ้าฝ้าย รองเท้าผ้า คนหนึ่งสวมอาภรณ์ปักลายและประดับมงกุฎมุก ผู้เฒ่าปิดตาสงบจิต หนุ่มน้อยคล้ายมีอาการเบื่อหน่ายกับการเดินทางจึงยุกยิกไปมาตลอดเวลา
“ท่านปู่โจวท่านจะดื่มชาหรือไม่”
ผู้เฒ่าสั่นหน้าไปมาโดยไม่ลืมตา ครู่หนึ่งผ่านไป “ท่านปู่โจว ท่านกินขนมสักชิ้นเถอะ” ผู้เฒ่ายังคงใช้ความเงียบแสดงออกซึ่งการปฏิเสธ
แน่นอน ผู้เฒ่าย่อมเป็นโจวเซวียนซิง แน่นอน หนุ่มน้อยย่อมเป็นมู่เสี่ยวหวังเย
บุคลิกเคร่งขรึมเข้มงวดของผู้เฒ่าโจว คือสง่าราศีอันบ่มเพาะนานปีจนผู้คนให้ความยำเกรง มีก็แต่มู่เสี่ยวหวังเยคนนี้ที่คล้ายจะไม่รู้สึกถึงสง่าราศีชนิดนี้
ตั้งแต่แรกมาก็เห็นผู้เฒ่าท่านนี้เป็นเหมือนท่านปู่ทั่วไปคนหนึ่ง
ยังดีที่หลังจากโจวเซวียนซิงไล่ต้อนฝ่ายตรงข้ามจนเป็นใบ้พูดไม่ออกในท้องพระโรงวันนั้นทำให้หนุ่มน้อยคนนี้สะใจแทนพี่สาวตัวเองยิ่งนัก ถึงกับเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อท่านผู้เฒ่า
เป็น “ท่านปู่ทั่วไปที่เก่งกาจท่านหนึ่ง”
ดังนั้น โดยปกติที่พบหน้ามู่เสี่ยวหวังเยยังคงสนิทสนมเป็นหลัก เคารพเทิดทูนเป็นรอง ไม่มีความเหินห่างแม้แต่น้อย
คำถามก็คือ เป้าหมายของหนึ่งผู้เฒ่า หนึ่งหนุ่มน้อยอยู่ที่ใดและอยู่กับใคร