สูตรสำเร็จในชีวิตตามหลักพุทธศาสนา : การเห็นอริยสัจ | เห็นความจริงอันประเสริฐทั้งสี่ประการ

สูตรสำเร็จในชีวิต (43)

การเห็นอริยสัจ (1)

วันนี้ถึงสูตรสำเร็จข้อ อริยสจฺจาน ทสฺสนํ ที่ถูกคือ อริยสจฺจานํ ทสฺสนํ นิคหิต (สระ อํ) ที่ นํ หายไปนั้น มิใช่ท่านพิมพ์ผิด แต่เพราะฉันทลักษณ์บังคับตรงนี้ให้ใช้ลหุ แทนครุ อิรยจฺจานํ จึงเป็น อริยสจฺจาน ด้วยประการฉะนี้

ก็ไม่รู้จะอธิบายไวยากรณ์บาลีไปทำไม เพราะชาวบ้านทั่วไปเขาไม่ต้องการทราบลึกขนาดนั้น ต้องการรู้ว่าแปลว่าอย่างไรก็พอ

ปล่อยผมสักวันเถอะครับ วันนี้อยากทำอะไรลึกๆ แบบขงเบ้งบ้าง

อริยสจฺจาน ทสฺสนํ แปลว่าการเห็นอริยสัจ หรือเห็นความจริงอันประเสริฐทั้งสี่ประการ

เห็น ในที่นี้หมายถึงการเห็นด้วย “ตาใน” เป็นความสว่างโพลงภายใน เข้าใจถึงสภาวะทั้งหลายตามเป็นจริง ความรู้ระดับนี้มิใช่ระดับขี้ไก่ เป็นระดับ ยถาภูตยาณ (การหยั่งรู้ตามเป็นจริง) หรือ ธรรมจักษุ (ดวงตาเห็นธรรม)

ปุถุชนคนมีกิเลสถ้าเกิดความรู้เห็นระดับนี้ จะกลายเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบันทันที

ดังกรณีพระอัญญาโกณฑัญญะนั่นแหละ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจบลง อัญญาโกณฑัญญะก็เกิดญาณ (การหยั่งรู้) ขึ้นมาว่า ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ แปลเป็นไทยว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา

ฝรั่งแปลว่า “Whatever is by nature to be born is by nature to be extinguished. เขมรแปลว่า… (ช่างเขมรมันเถอะนะ!)

การรู้เห็นระดับนี้แหละครับที่ประสงค์ในที่นี้ เมื่อรู้เห็นระดับนี้แล้ว ไม่มีทางตกต่ำ มีแต่จะแก่กล้าขึ้นไปเรื่อยๆ จนสามารถขจัดกิเลสเครื่องมัวหมองใจในที่สุด

จะว่าไปแล้วสูตรสำเร็จข้อนี้เป็นความสำเร็จขั้นโลกุตระแล้ว มิใช่ความสำเร็จระดับโลกๆ

อริยสัจสี่ มีอะไรบ้าง คงรู้กันทุกคน เพราะเรียนมาตั้งแต่โรงเรียนมัธยม ทบทวนอีกก็ได้คือ

ทุกข์ มีปัญหาของชีวิตทุกรูปแบบที่เผชิญอยู่

สมุทัย สาเหตุของปัญหาชีวิต สรุปให้สั้นคือ “ตัณหา” ความทะยานอยากสามลักษณะคือ ยังไม่ได้ ยังไม่มี ยังไม่เป็น อยากได้ อยากมี อยากเป็น, ได้แล้วมีแล้วเป็นแล้ว ถ้ามันเป็นที่พอใจยากให้มันคงอยู่ตลอดไป และบางครั้งถ้าเบื่อขึ้นมาอยากหนีหรือสลัดทิ้งไป

นิโรธ การแก้ปัญหาได้ หรือการที่ปัญหาหมดไปโดยสิ้นเชิง

มรรค วิธีการแก้ปัญหา ได้แก่ มรรคแปดประการ สรุปให้สั้นคือ ปัญญา (ความรู้ความเข้าใจ) ศีล (ควบคุมกาย-วาจาให้เรียบร้อย, ควบคุมพฤติกรรมให้สอดคล้องกับความรู้นั้น) และ จิตต (คนไทยชอบเรียกว่าสมาธิ) (การควบคุมพลังจิตให้แน่วแน่มั่นคงต่อเป้าหมาย, การที่จิตมีคุณภาพ, สมรรถภาพและสุขภาพ)

รู้อริยสัจต้องรู้ครบวงจร คือ รู้ว่าทุกข์หรือปัญหาคืออะไร, ควรจะทำอย่างไร, ทำลงไปแล้วได้ผลอย่างไรก็รู้, ในเรื่องสมุทัย นิโรธ มรรคก็เช่นเดียวกัน รู้ครบวงจรอย่างนี้กิเลสจึงจะลดลงไปได้ บางคนสงสัยว่า ตนเองก็ท่องอริยสัจสี่ได้คล่อง ทำไมยังมีกิเลสอยู่เหมือนเดิม บางครั้งมีมากกว่าเดิมอีก

นั่นเพียงความรู้จำเท่านั้นเอง มิใช่การรู้เห็นอริยสัจดอกนะจะบอกให้ (ขอบคุณ คุณคำรณ หว่างหวังศรี ที่ให้ยืมวลีนี้มาใช้)

—————

ต่อ

การรู้เรื่องยารักษาโรคที่ครบวงจรสามารถทำให้โรคหายได้ เช่นรู้ว่า ยาขนานนี้รักษาโรคปวดท้อง เมื่อปวดท้องขึ้นมาเมื่อใดให้กินยานี้ กินเข้าไปตามกำหนดแล้วโรคปวดท้องหายก็รู้ว่ายาขนานนี้แก้โรคปวดท้องได้จริง

อย่างนี้เรียกว่า รู้เรื่องยาแก้ปวดท้องแบบครบวงจร

อุปมาฉันใด อุปไมยก็ฉันนั้น การรู้การเห็นอริยสัจสี่ที่ครบวงจร ย่อมสามารถเกิดความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นส่วนๆ ได้จนกระทั่งหมดในที่สุด

ต่างจากการรู้จดรู้จำ ท่องได้อย่างนกแก้วนกขุนทอง “อริยสัจสี่คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” ท่องจนปากเปียกปากแฉะกิเลสมันก็ไม่มีทางลด

เผลอๆ อาจเพิ่มขึ้น คือมานะ อติมานะเพิ่มขึ้น “เราท่องได้คล่องกว่าคนอื่นเว้ย” อะไรทำนองนั้น

ถ้าพูดให้เป็นหลักวิชาก็ว่า ญาณ ในอริยสัจสี่ ได้เกิดขึ้นครบถ้วน 3 ขั้นตอน คือ

สามขั้นตอนนี้เรียกว่าสัจจญาณ (รู้ความจริงว่ามันคืออะไร) กิจจญาณ (รู้ว่าควรจัดการกับมันอย่างไร) และกตญาณ (รู้ว่าได้จัดการกับมันแล้วเกิดผลอย่างไร)

เป็นอย่างไร ฟังแล้วมึนศีรษะไหม เรื่องของวิชาการมันก็อย่างนี้แหละ ต่อไปมาว่าถึงการประยุกต์หลักอริยสัจสี่มาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อความสำเร็จแห่งชีวิตระดับโลกๆ อย่างเราๆ จะดีกว่า

แก่นของอริยสัจสี่อยู่ที่การรู้จักใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาชีวิต จะรู้ว่าสภาพปัญหาที่แท้จริงคืออะไร มันมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง ปัญหาจะแก้ไขได้ไหม วิธีการแก้ปัญหาจะต้องทำอย่างไรทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับปัญญาตัวเดียว ต้องเข้าจึงจะแก้ได้ ถ้าไม่เข้าใจ ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ปัญหาใหม่จะเพิ่มทับทวีคูณ

แก้ไปแก้มากลับติดกับตัวเองดิ้นไม่หลุดดุจลิงติดตัง

ไอ้จ๋อแสนซน ไม่รู้ว่าเขาเอาตัวไปดักไว้ เอามือขวาไปจับเล่น ตังติดมือแกะไม่ออกเอามือซ้ายจับ มือซ้ายติดอีก ด้วยความตกใจเอาเท้าขวายัน เท้าขวาก็ติดอีก เอาเท้าซ้ายถีบหวังจะให้หลุด เท้าซ้ายก็ติดอีก

คราวนี้ไอ้จ๋อหน้าเคยบานเหมือนดอกพะยอมแย้มกลายเป็นเหลือนิ้วเดียว ซีดเซียวด้วยความตกใจ เอาปากกัดสุดฤทธิ์ ปากเจ้ากรรมก็ติดอีก หมดหนทางทำอะไร ได้แต่ดิ้นกลิ้งหลุนๆ

น่าสงสารไอ้จ๋อมันเนาะ

ไอ้จ๋ออีกตัวหนึ่ง พาลูกน้องรดน้ำต้นไม้ให้นาย ขณะที่นายไม่อยู่ ด้วยความปรารถนาดีแต่ด้วยความโง่ สั่งให้ลูกน้องถอนรากไม้ขึ้นมาดูก่อนว่ารากชุ่มน้ำหรือยัง ถ้ายังให้ราดน้ำลงไปใหม่ ถ้าชุ่มแล้วให้เอาดินกลบใหม่ ประดาบริวารลิงต่างรดน้ำต้นไม้อย่างขยันขันแข็ง ไม่ช้าไม่นานต้นไม้ตายเรียบ เจ้านายกลับมาแทบลมใส่ ลิงโง่ขยันยังฉิบหายขนาดนี้ ถ้าคนโง่ขยันมันจะวินาศสันตะโรขนาดไหน

หน่วยงานไหนที่มีแต่คนโง่ขยัน หน่วยงานนั้นจะเป็นอย่างไร ใครๆ ก็รู้