ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 ธันวาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐกับจีนวันนี้มีที่มาที่ไปที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดพอสมควร
การจะมองว่าสองยักษ์ใหญ่นี้จะทำสงครามกันในวันข้างหน้าหรือไม่ต้องมองย้อนกลับไปในอดีต
หลายจังหวะของอดีตคือการพยายามจะสานสัมพันธ์สลับกับการแก่งแย่งอิทธิพลเหนือประชาคมโลก
ในช่วงทศวรรษที่ 1970s คือความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างสหรัฐ, สหภาพโซเวียตและจีน
เมื่อปักกิ่งกับมอสโกที่เคยเป็น “สหายยิ่งยวด” เกิดมีเรื่องระหองระแหงกันเพราะเหมาเจ๋อตุงเริ่มจะระแวงว่าสหภาพโซเวียตทำท่าจะมองตนเป็นศัตรู ผู้นำจีนก็ตัดสินใจยื่นมือให้กับสหรัฐ
สหายกลายเป็นศัตรู และอริเก่าก็ผันเป็นมิตรได้
สัจธรรมแห่งการเมืองระหว่างประเทศว่า “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” ก็กลับมาแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดอีกครั้ง
ความขัดแย้งระหว่างสองยักษ์ในค่ายคอมมิวนิสต์เริ่มต้นจากการนิยามผลประโยชน์ที่ต่างกันในช่วงสงครามเย็นระหว่าง 1945-1991
ในช่วงนั้นการตีความ “ลัทธิมาร์กซ์” ของสองประเทศเริ่มจะสร้างความร้าวฉาน
ผู้นำโซเวียตในช่วงนั้นเริ่มกระบวนการลบอิทธิพลทางความคิดของสตาลินและหันไปหาทาง “อยู่ร่วมกัน” กับโลกตะวันตก
เหมาเจ๋อตุงในยามนั้นยึดมั่นในความผูกพันกับลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างเหนียวแน่น
เหมาตีความการปรับเปลี่ยนท่าทีของผู้นำมอสโกเป็น “ทวนกระแสหลัก” ของลัทธิมาร์กซ์-เลนิน
ปักกิ่งเริ่มใช้คำว่า Revisionism กับมอสโก ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยแปลเป็น “ลัทธิแก้”
มาจากคำว่า Revise อันหมายถึงการ “แก้ไข” หรือ “ทบทวน”
พูดง่ายๆ คือ จีนกล่าวหาสหายที่สหภาพโซเวียตว่ากำลังจะเดินหนีจากต้นแบบของความเป็นคอมมิวนิสต์ที่ปรมาจารย์อย่างมาร์กซ์และเลนินได้กำหนดเป็นหลักปฏิบัติเอาไว้
นั่นหมายความว่าเหมามองผู้นำมอสโกกำลังจะหนีห่างจาก “คอมมิวนิสต์บริสุทธิ์” และยอมอ่อนข้อต่อ “จักรวรรดิทุนนิยมตะวันตก”
อีกด้านหนึ่งเหมาไม่พอใจที่สหภาพโซเวียตขยับไปใกล้อินเดีย
ขณะเดียวกันนายกฯ ของสหภาพโซเวียตขณะนั้น นิกิต้า ครุสชอฟ ก็เริ่มมองเหมาเจ๋อตุงอย่างเป็นห่วงกังวลว่าผู้นำจีนคนนี้มีความ “ระห่ำ” พอที่จะก่อให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ที่จะทำลายล้างโลกทั้งสองซีกได้
ผลที่ตามมาคือจีนกับสหภาพโซเวียตเริ่มทำสงครามแก่งแย่งอิทธิพลเหนือประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ทั่วโลก
สําหรับโลกตะวันตกแล้ว การที่ปักกิ่งกับมอสโกแตกแยกกันทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหม่
นั่นคือสงครามเย็นที่เดิมมีสองฝั่งคือโลกเสรีกับคอมมิวนิสต์ถูกแปรสภาพเป็นสงครามเย็นสามฝ่าย…เพราะจีนกับสหภาพโซเวียตเกิดปริแตกขึ้นมากลางคัน
จึงกล่าวได้ว่าการที่ครุสชอฟประกาศทิ้งอุดมการณ์สตาลินในปี 1956 เป็นจุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่โยงกับเหตุการณ์ “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งเท่ากับ
การก่อสร้างกำแพงเบอร์ลินในปี 1961
วิกฤตการเผชิญหน้าขีปนาวุธคิวบาระหว่างอเมริกากับสหภาพโซเวียตในปี 1962
และการสิ้นสุดของสงครามเวียดนามในปี 1975
เพราะเหตุการณ์สำคัญชุดนี้นำไปสู่การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของเหมาเจ๋อตุงของจีนที่หันมาจับมือกับริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐในปี 1972
ตัดภาพกลับมาที่ “ภารกิจการทูตลับ” ของคิสซิงเจอร์ที่ถูกส่งมาเจรจารายละเอียดของการมาเยือนจีนโดยประธานาธิบดีนิกสัน
วันที่ 1 กรกฎาคม 1971 คิสซิงเจอร์ออกจากฐานบินกองทัพอากาศแอนดรูส์ที่วอชิงตัน ดี.ซี.
รายงานทางการบอกว่าที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของนิกสันจะไปเยือนไซ่ง่อน (โฮจิมินห์ซิตี้วันนี้), กรุงเทพฯ และนิวเดลีก่อนจะไปเยือนอิสลามาบัดของปากีสถาน
แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการหลบเข้าประเทศจีนเพื่อเริ่มกระบวนการเจรจากับเจ้าหน้าที่ปักกิ่ง
ผมจำได้ว่าคิสซิงเจอร์หลบเข้ามาพักที่โรงแรมเอราวัณ (ยุคก่อน) เพราะผมไปนั่งกินข้าวอยู่ที่นั่น เจ้าหน้าที่โรงแรมคนหนึ่งมากระซิบว่าคิสซิงเจอร์เพิ่งเช็กอินที่โรงแรม
ผมตรวจสอบข่าวแล้วรัฐบาลไทยไม่มีกำหนดจะพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างนี้จากวอชิงตัน
ผมเช็กข่าวกับสถานทูตสหรัฐ ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแต่ประการใด
เพราะเจ้าหน้าที่สถานทูตก็ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับการมาเยือนของมือขวาของประธานาธิบดีนิกสันด้วยซ้ำไป
เป็นข่าวที่ชวนฉงนยิ่ง
มารู้ว่าเป็น “การหลบซ่อนเข้าออก” ของคิสซิงเจอร์ก็ผ่านมาหลายสัปดาห์เมื่อมีการแถลงข่าวว่าคิสซิงเจอร์ได้หลบเข้าจีนโดยไม่มีการแจ้งกับสาธารณชน
“ภารกิจลับ” ครั้งนั้นมีการสร้างข่าว (ถ้าเป็นวันนี้ก็ต้องเรียก Fake news) ว่าคิสซิงเจอร์เกิดปวดท้องอย่างแรง
ข่าวต่อมาบอกว่าประธานาธิบดีปากีสถานได้ส่งเครื่องบินพิเศษมารับคิสซิงเจอร์ไปพักรักษาตัว ณ จุดพักผ่อนบนยอดเขาที่ปลอดผู้คน
วันที่ 9 กรกฎาคม 1971 แผนลับนั้นกำหนดให้คิสซิงเจอร์และคณะใช้ยานพาหนะทหารของปากีสถานมาถึงสนามบิน Chaklala
นักข่าวอังกฤษคนหนึ่งเห็นคิสซิงเจอร์ ก็รีบส่งข่าวไปที่หัวหน้าข่าวที่ลอนดอน บอกว่าเห็นคิสซิงเจอร์ที่สนามบินทหารของปากีสถาน แต่ไม่รู้ว่ามีกิจกรรมอะไร
บ.ก.ข่าวที่สำนักงานใหญ่ที่ลอนดอนบอกว่านักข่าวคนนั้นคงคิดไปเองว่าเป็นคิสซิงเขอร์ เพราะแกไม่น่าจะไปอยู่แถวนั้น จึงเอาข่าวนั้นทิ้งถังขยะไป
เท่ากับตกข่าวระดับโลกเลยทีเดียว
จากสนามบินกองทัพอากาศแห่งนั้น คิสซิงเจอร์ขึ้นเครื่องบินโบอิ้ง-707 ของปากีสถาน
เครื่องบินลำนั้นเพิ่งร่อนลงจากปักกิ่งเพื่อไปรับ Nancy Tang (แนนซี่ ถัง) ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามมาช่วยงานของคิสซิงเจอร์และคณะอย่างใกล้ชิด
นายกฯ โจวเอินไหลมาพบคิสซิงเจอร์ ณ ที่พักสำหรับแขกพิเศษต่างชาติ
คิสซิงเจอร์ควักเอาเอกสารปึกเบ้อเร่อ นายกฯ โจวมีกระดาษเปล่าแผ่นเดียว
คิสซิงเจอร์อ่านจากบทได้สักสองสามนาทีก็เอ่ยเอื้อนขึ้นว่า
“มีคนมาเยือนดินแดนอันสวยงามแห่งนี้มากมาย สำหรับเรายังเป็นดินแดนแห่งความลี้ลับ…”
นายกฯ โจวยิ้มและพูดแทรกขึ้นมาว่า
“เมื่อท่านมีความคุ้นเคยกับเราแล้ว ก็จะไม่ใช่เรื่องลี้ลับอีกต่อไป…”
บรรยากาศเครียดๆ ตอนแรกก็ค่อยๆ คลายลง
การประชุมวันแรกลากยาวถึง 7 ชั่วโมง กว่าจะจบก็ใกล้เที่ยงคืน
หลังจากนั้น นายกฯ โจวก็กลับไปรายงานผลการพบปะรอบแรกต่อประธานเหมา
ผู้นำจีนทำงานดึกมาก วันรุ่งขึ้นจึงให้คิสซิงเจอร์และคณะไปทัศนศึกษาในกรุงปักกิ่ง
ในการประชุมรอบที่สอง นายกฯ โจวแจกแจง “จุดยืนที่แตกต่าง” ระหว่างจีนกับสหรัฐ
จากนั้นโจวก็ถามว่า
“ในเมื่อเราสองประเทศมีความแตกต่างกันมากมายอย่างนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะเชิญประธานาธิบดีนิกสันมาเยือนจีน?” นายกฯ โจวบอกคิสซิงเจอร์
คงจะเป็นการโยนหินถามทางตามสไตล์การทูตแบบจีนเพื่อหยั่งเชิงผู้มาเยือน
คิสซิงเจอร์แสดงอาการแปลกใจ แต่ก็พยายามเปล่งวาจาตอบด้วยเสียงที่ราบเรียบ ไม่พยายามจะแสดงให้เจ้าของบ้านเห็นความหวั่นไหวของตนเอง
“นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ฝ่ายจีนจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะเชื้อเชิญประธานาธิบดีสหรัฐมาเยือนจีนหรือไม่”
หลังอาหารเที่ยง นายกฯ โจวแจ้งกับคิสซิงเจอร์ว่า หน้าร้อนของปีต่อไปน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการมาเยือนจีนของนิกสัน
คิสซิงเจอร์ยิ้ม เท่ากับรับรู้ว่านายกฯ โจวไม่ได้จริงจังกับประโยคเมื่อตอนเช้ามากนัก หรืออาจจะเป็นการประเมินความมุ่งมั่นของฝ่ายอเมริกาเท่านั้น
ต่อมาทั้งสองก็ตกลงกำหนดการมาเยือนจีนของนิกสันในฤดูใบไม้ผลิของปีต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับช่วงของการเลือกตั้งที่สหรัฐ
และแล้วประวัติศาสตร์โลกก็จารึกว่าเครื่องบิน Air Force One ที่นำประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐก็ร่อนลงปักกิ่งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1972 เพื่อเปิดศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตของสองมหาอำนาจโลก