คำ ผกา | ไม่กลัวโควิด กลัวรัฐบาลนี้มากกว่า

คำ ผกา

เราเริ่มต้น 2020 กันด้วยข่าวการแพร่ระบาดของโควิด และเรากำลังจะจบปี 2020 นี้ไปด้วยการระบาด “ระลอกใหม่ที่ไม่ใช่ระลอก 2” ของโควิด และในสายตาของฉันการรับมือกับโควิดของรัฐบาลไทยนั้นอยู่ในข่าย เรื่องที่ควรทำไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรทำกลับทำ

ถึงวันนี้เราควรจะนั่งลงใจเย็นๆ และทำใจว่า โควิดคือโรคระบาดหนึ่งที่จะอยู่กับเราไปอีกนาน เช่นโรคระบาดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นวัณโรค ไข้เลือดออก หรือไข้หวัดใหญ่ ที่สำคัญในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาที่มีคนติดโควิดแล้วทั่วโลก 76.8 ล้านคน หายจากโควิด 43.3 ล้านคน เสียชีวิต 1.69 ล้านคน

https://en.wikipedia.org/wiki/Template:COVID-19_pandemic_data#covid-19-pandemic-data

พูดเป็นภาษาชาวบ้านคือ เรามีโอกาสที่จะตายจากโรคโควิดน้อยมากเสียจนฉันคิดว่าเราเลิกมองเห็นโควิดเป็นโรคระบาดอันน่าสะพรึงได้แล้ว

คำว่า Pandemic มันอาจจะน่ากลัว ถ้าเรานึกถึงกาฬโลก นึกถึงอหิวาห์ตกโรค นึกถึงไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยหรือสองร้อยปีก่อนที่เรายังไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาล ไม่มีองค์ความรู้ทางการแพทย์ บ้านเรือนของมนุษย์ในยุคนั้นยังไม่มีระบบสุขอนามัยที่ถูกต้อง พูดให้ชาวบ้านกว่านั้นคือในยุคที่แม้แต่พระราชวังแวร์ซายส์ยังไม่มีส้วม

คำว่า pandemic น่าจะเป็นคำที่น่าสะพรึง สยองขวัญอย่างมหันต์ เพราะมีปัจจัยให้โรคระบาดนั้นระบาดต่อไปได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด จากสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ การขับถ่าย ความสะอาด การสุขาภิบาล ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ ฯลฯ

ในยุคนู้น โรคระบาดจึงทำให้คนตายยกบ้านยกเมืองได้ ชนิดที่เมืองเมืองหนึ่งอาจกลายเป็นเมืองร้างได้เพราะโรคระบาด

แต่ในสมัยนี้ที่เทคโนโลยีและเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์มาไกลมากจนถึงขั้นที่เราปลูกถ่ายอวัยวะ เปลี่ยนไต เปลี่ยนหัวใจกันเป็นว่าเล่น

หมอ โรงพยาบาล เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศส่วนใหญ่บนโลกใบนี้มีอย่างเป็นปกติ

มิพักต้องพูดว่าเราอยู่ในยุคที่ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดความดัน หรือแม้กระทั่งการฉีดอินซูลินของผู้ป่วยโรคเบาหวาน เป็นอะไรที่มีและทำกันได้เองในบ้าน

บ้านเรือน ส้วม น้ำประปาที่สะอาด ไปจนถึงเทคโนโลยีการเก็บและเผาศพ เป็นไปโดยสะอาด ปลอดเชื้อ แถมเรายังมีเจลล้างมือ แอลกอฮอล์ มีสเปรย์ มีน้ำยาฆ่าเชื้อ มีหน้ากากอนามัย มีทุกอย่างที่คนในศตวรรษที่แล้วไม่มีวันจะจินตนาการได้ว่าโลกจะมาไกลถึงขนาดนี้

ดังนั้น pandemic มันไม่ควรจะน่ากลัวขนาดนั้น

ที่สำคัญจากมกราคมที่เราเพิ่งรู้จักกับโควิด จนถึงธันวาคม ปีนี้ที่โลกของเราอยู่กับโควิดมาจนครบปี วงการแพทย์ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับโควิดขึ้นมาอีกอักโข

ชุดตรวจหาเชื้อก็แม่นยำขึ้น ราคาถูกลง และก็จับทางได้แล้วว่าคนแบบไหนที่ติดแล้วจะไม่อาการหนัก สามารถนอนเฉยๆ อยู่บ้านได้ ไม่จำเป็นต้องมาโรงพยาบาลด้วยซ้ำ และคนประเภทไหนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรได้รับทรีตเมนต์ทางการแพทย์อย่างจำเพาะเจาะจง

วัคซีนโควิดก็เริ่มทยอยนำออกมาฉีดให้ประชาชนแล้วในหลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร ที่จะฉีดให้กับผู้สูงอายุก่อน เพราะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง สิงคโปร์ก็จะนำวัคซีนมาฉีดให้พลเมืองของตนเร็วๆ นี้เช่นกัน

และหนึ่งปีผ่านไปคนรอบตัวฉันที่อยู่ในสวีเดน อยู่อังกฤษ อยู่ฝรั่งเศส อยู่อเมริกา หลายคนก็ติดโควิดไปแล้ว และหายเรียบร้อยแล้ว

คนเหล่านั้นก็แจ้งว่า เมื่อสงสัยว่าเป็น ก็โทร.ติดต่อหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ เขาจะส่งชุดตรวจมาให้ที่บ้านพร้อมรอรับกลับ

พอผลออกมาว่าติดก็จะได้รับคำแนะนำให้อยู่บ้านพักผ่อน กินยาแก้ไข้ตามอาการ ครบ 14 วันที่หาย ก็ออกมาทำงาน ใช้ชีวิตตามปกติ

อนึ่ง ผู้เสพสื่อทั้งหลายพึงรู้ว่า ในจำนวนคนติดโควิด 76 ล้าน มันย่อมมีเคสที่น่าสะพรึง เคยหายใจไม่ออก เคสปอดหาย บลา บลา อยู่บ้างแหละ

และหากฉันเป็นสำนักข่าว ฉันก็ต้องเลือกทำคลิปที่สะพรึงและเร้าอารมณ์ ดราม่าบุคลากรทางแพทย์ทำงานหนักเอย ดราม่าคนไข้โควิดตายอย่างอาดูรและทรมานเอย หรือคนที่หายจากโควิดแล้วปอดไม่เหมือนเดิมเอย

เพราะคลิปเหล่านี้จะได้ยอดไลก์ ยอดแชร์ สูงกว่าคลิปที่บอกว่า เออ เป็นโควิดแล้วนอนกินน้ำเยอะๆ อยู่บ้านแล้วหาย

อนึ่ง ที่สอง เหตุที่บ้านเราต้องเอาคนป่วยโควิดเข้าโรงพยาบาลให้หมดก็เพราะกลัวว่าคนติดโควิดที่ไม่แสดงอาการจะออกไปอยู่นอกบ้าน ทำกิจกรรมต่างๆ แล้วไปแพร่เชื้อให้คนอื่นมากกว่าเพราะมันเป็นโรคร้ายแรงด้วยตัวของมันเอง

และทั้งหมดนี้ ฉันไม่ได้บอกว่า เฮ้ย พวกโควิดไม่น่ากลัว จงออกมาเริงร่าท้าความตาย

แต่แค่อยากให้วางอุปทานหมู่ลงแล้วหยิบสติขึ้นมาสวมใส่ ค่อยๆ พินิจข้อมูลต่างๆ ด้วยข้อเท็จจริง ตัวเลข และเหตุผลมากกว่าจะเป็นกระต่ายตื่นตูม

ขณะเดียวกัน เราทุกคนที่รักตัวกลัวตายก็พึงต้องดูแลสุขภาพของตนเองเป็นนิจอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ใส่หน้ากาก ไม่ขยี้ตา ไม่แคะขี้มูก ไม่ล้วงปากแคะขี้ฟัน ไม่ขากถุย ไอ จาม ปิดปาก ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินวิตามิน อาหารเสริมตามจินตนาการ

เดินบนฟุตปาธเมืองไทยก็เดินด้วยสติ ไม่เหม่อลอย เพราะอาจตายหรือพิการก่อนติดโควิด

หลักการดูแลสุขภาพกว้างๆ ป้องกันได้ทุกโรคก็มีเพียงเท่านี้

ต่อให้ไม่มีโควิด ทุกคนก็พึงดูแลตนเองแบบนี้ไม่ใช่หรือ?

แทนการประสาทแดกจากโควิด เราควรมาประสาทแดกกับการรับมือกับโควิดของรัฐบาลดีกว่า

เช่น เราพึงประสาทแดกว่า ทำไมตอนนั้นรัฐบาลปล่อยให้มีการชกมวยที่สนามมวยลุมพินี และเมื่อหลังพบการระบาดจากสนามมวย ทำไมรัฐบาลถึงเลือกวิธีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ พาเศรษฐกิจประเทศเสียหาย พังยับเยิน

เราพึงประสาทแดกกับการบริหารจัดการโควิดของรัฐบาล ว่า โควิดอยู่กับเรามาครบหนึ่งปี แต่รัฐบาลไม่มีพลวัตในการรับมือกับโควิดเลย

เช่น ระเบียบการกักตัว ได้ถูกปรับให้เข้าสถานการณ์ใหม่ๆ ของโควิดอย่างไรบ้าง เช่น การมี alternative quarantine ในรูปแบบต่างๆ ทั้งสำหรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวและเข้ามาทำธุรกิจ คนต่างชาติที่แต่งงานและมีธุรกิจอยู่ในประเทศไทยรวมไปถึงช่าง วิศวกรโรงงานจากต่างประเทศที่จำต้องมาเมืองไทยเพื่อทำงานเร่งด่วนบางอย่าง – เราไม่เคยพยายามที่ทำให้การ quarantine มีหลาย options เพื่ออำนวยความสะดวกสร้างความเป็นไปได้ให้กับการใช้ชีวิต การทำมาหากิน

ขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมสถานการณ์โควิดให้อยู่ในระดับที่จัดการได้ โปร่งใส รู้ที่มาที่มา รู้ว่าใครรับผิดชอบเรื่องอะไรที่จุดไหน

ไม่ใช่เราไม่รู้ว่าเรามีตะเข็บชายแดน พรมแดนธรรมชาติที่มีการเดินทางเข้าและออกของผู้คน

ไม่ใช่เราไม่รู้ว่าจะมีการลักลอบเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย

แต่สิ่งที่รัฐบาลและผู้นำประเทศที่มีสมองพึงทำคือ ในเมื่อเราไม่มีปัญญาส่งคนไปเฝ้าชายแดนได้ทุกจุด 24 ชั่วโมง และไม่มีคนโง่และบ้าที่ไหนทำอย่างนั้นแน่นอน

แต่สิ่งที่คนไม่โง่และไม่บ้าพึงทำคือ ต้องเปิดให้การเข้า-ออกเมืองที่ชายแดนโดยถูกกฎหมายเป็นสิ่งที่ attractive กว่าการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

เรารู้กันอยู่เต็มอกว่า แรงงานต่างชาติล้วนๆ ที่รันวงการเศรษฐกิจประเทศไทยทั้งแต่หัวจรดเท้า

ปราศจากพวกเขา เศรษฐกิจไทยจะเป็นอัมพาตไปกว่าร้อยละ 70

นี่เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนควรเขียนแปะหน้าผากตัวเองไว้เป็นแม่นมั่น

และหากทั้งรัฐบาลไทยและประชาชนไทยรู้ว่าแรงงานต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านคือผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่สำคัญที่สุดและเราขาดพวกเขาไม่ได้

สิ่งที่รัฐบาลไทยพึงทำคือ ปรับปรุงกฎหมาย ข้อบังคับให้การเข้ามาทำงานในประเทศไทยของแรงงานเหล่านั้นให้เป็น “คุณ” ต่อทุกฝ่าย

ทำอย่างไรก็ได้ให้การทำงานถูกกฎหมาย มันง่ายกว่าการทำผิดกฎหมาย

ทำให้การขอใบอนุญาต การทำ work permit อย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็อยากทำ

จินตนาการว่าถ้าฉันเป็นนายจ้าง ฉันก็อยากจ้างแรงงานที่ถูกกฎหมายเพราะไม่ต้องถูกข้าราชการรีดไถ

ถ้าฉันเป็นลูกจ้าง ฉันก็อยากมีใบอนุญาตทำงานที่ถูกกฎหมาย เพราะฉันอยากเข้าสู่ระบบประกันสังคม ประกันสุขภาพ สวัสดิการ และการคุ้มครองแรงงาน

แต่รัฐราชการไทยกลับทำในสิ่งตรงกันข้าม

คือทำให้การทำถูกกฎหมายยากเสียจนแทบเป็นไปไม่ได้

จนคนต้องไปใช้วิธีการผิดกฎหมาย และเมื่อมันผิดกฎหมาย มันก็เป็นช่องทางให้ข้าราชการหารายได้จากการคอร์รัปชั่น

เรา “รัน” ประเทศนี้มาด้วยวิธีเวรตะไลแบบนี้อยู่เสมอมา

เรื่องคนเข้า-ออกแนวชายแดนก็เช่นกัน เพียงเราออกแบบระบบให้คนเข้าและออกในจุดที่เรากำหนด และอำนวยความสะดวกแก่พวกเขา ดูแลความปลอดภัยแก่พวกเขา เราสามารถตรวจโรค ตรวจสุขภาพไปจนถึงออกแบบระบบการกักตัวที่ดีได้

อีกทั้งสามารถหารายได้จากค่าธรรมเนียมของคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ด้วย

ที่สำคัญนี่คือดีลธุรกิจแบบเคารพในความเป็นคนของกันและกัน

ไม่ใช่เห็นพวกเขาเป็นคนต่ำกว่า แล้วอ้างเป็นบุญคุณว่า โอ๊ยแก! ฉันอุตส่าห์ให้พวกแกมาทำงานหาเงินหาทอง ทำไมพวกแกยังทำตัวน่ารังเกียจ เป็นตัวแพร่เชื้อโรคมาให้พวกชั้นลำบาก

เดี๋ยวอีคนพูด มึงเอาฝ่าเท้าตรองดูดีๆ ไม่มีแรงงานเหล่านี้ พวกมึงอยู่กันเองได้จริงหรือ?

ย้ำว่าโควิดด้วยตัวของมันเองไม่ได้น่ากลัวอะไรนักหนา

แต่ที่น่ากลัวคือรัฐบาลที่ทำงานอย่างสะเปะสะปะในทุกมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง สังคม สุขภาพ

เช่น โควิดจะไม่ได้ทำให้เราตายด้วยโรคระบาด แต่ด้วยฝีมือของรัฐบาลชุดนี้ นอกจากเราต้องเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจ ยังทำให้เราเกิดวิกฤตของระบบแรงงานต่างชาติ

แรงงานต่างชาติที่ถูกกฎหมายจะกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย

การเข้า-ออกพรมแดนที่พึงทำอย่างตรงไปตรงมา จะแปรรูปก่อให้เกิดอุตสาหกรรมการลักลอบนำแรงงานเถื่อนเข้าประเทศและกลายเป็นขุมทรัพย์ของ “เจ้าพ่อ” ผู้มีอำนาจ อิทธิพลในวงการเมือง วงการข้าราชการ อย่างนี้เป็นต้น

เชื่อฉันเถอะ โควิดน่ะ ไม่น่ากลัวหรอก แต่โควิดที่ถูกบริหารจัดการภายใต้รัฐบาลเผด็จการที่หิวโหยและตะกลามนี่แหละจะทำให้เราตายได้จริงๆ