ยานยนต์ สุดสัปดาห์ / สันติ จิรพรพนิต/’2563′ ปีแห่งรถพลังงานทางเลือก สารพัดค่ายเข็นรุ่นเด่น-ราคาน่าคบ

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์/สันติ จิรพรพนิต [email protected]

‘2563’ ปีแห่งรถพลังงานทางเลือก

สารพัดค่ายเข็นรุ่นเด่น-ราคาน่าคบ

 

“ยานยนต์สุดสัปดาห์” ฉบับส่งท้ายปี 2563 ขอจับกระแสความร้อนแรงของ “รถยนต์พลังงานทางเลือก” ทั้งแบบไฟฟ้า 100% หรือ “อีวี” และรถพลังงานไฮบริดลูกผสมน้ำมัน-ไฟฟ้า ที่หลายค่ายรถยนต์นำมาเปิดตัวในบ้านเราตลอดทั้งปี

ส่วนหนึ่งเป็นเทรนด์ของโลก กับการอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะรถพลังงานทางเลือกปล่อยไอเสียน้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน

อีกส่วนที่ทำให้รถยนต์พลังงานทางเลือกเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่พ้นการสนับสนุนของรัฐบาล ที่พยายามติดตั้งจุดชาร์จกระจายไปทั่ว แม้ส่วนใหญ่ยังกระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ หรือเขตหัวเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น

ขณะที่ภาคเอกชนก็เพิ่มจุดชาร์จตามอาคารคอนโดมิเนียม หรือห้างสรรพสินค้า และโชว์รูมของตัวเอง

นอกจากนี้ ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้บริษัทผู้ผลิตสามารถสร้างแบตเตอรี่ที่มีความจุเพิ่มขึ้น ทำให้รถหลากหลายรุ่นมีระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้งพอๆ กับการเติมน้ำมัน 1 ถัง

รวมถึงการมี “ควิกชาร์จ” หรือชาร์จแบบเร็ว ช่วยร่นระยะเวลา

ท้ายสุดไม่พ้น “ราคา” ที่คนไทยเริ่มจับต้องได้ รถหลายรุ่นไม่ถึง 1 ล้านบาทด้วยซ้ำ

จากแต่ก่อนราคาหลายล้านและส่วนใหญ่เป็นรถแบรนด์ยุโรป

 

ค่ายที่ถือว่าเอาจริงเอาจังกับรถยนต์พลังงานทางเลือกในปี 2563 ต้องยกให้ “เอ็มจี” จากแดนมังกร ที่แม้จะเพิ่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเราไม่นาน แต่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม

เพราะตั้งราคาไม่สูง การออกแบบภายนอก-ภายในหรูหรา รวมทั้งใช้เงินลงทุนสร้างโรงงาน และผุดโชว์รูมนับร้อยแห่งในเวลาสั้นๆ สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าคนไทยว่าไม่โดนลอยแพแน่

เทคนิคการทำตลาดของเอ็มจี หลักๆ คือออกรถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นทางเลือกเทียบกับรถยนต์สันดาปภายใน เรียกว่าปล่อยออกมา 2 แบบเครื่องยนต์ เช่น “เอ็มจี แซดเอส” เมื่อปี 2562

ในปี 2563 จัดหนักมาอีก 2 รุ่นหลักๆ คือ “NEW MG HS PHEV” รถเอสยูวีขนาดกลางแบบไฮบริด

หน้าตาภายนอก เน้นเส้นสายโค้งมนกระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะแบบ Stellar Magnetic Field ไฟหน้า LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ไฟท้าย LED Space Light Field

ไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่แสดงผลแบบไล่ระดับทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ด้วยล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ในสไตล์ Thunder Wing Blade ขนาด 18 นิ้ว

ห้องโดยสารตกแต่งแบบทูโทน 2-Tone Monaco Blue วัสดุ Soft Touch เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ตกแต่งด้วยวัสดุ Alcantara เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

จอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว และจอควบคุมกลางแบบทัชสกรีนขนาด 10 นิ้ว ระบบเสียง BOSE 8.1 Sound System

หลังคาซันรูฟที่เปิดกว้างแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) บนพื้นที่เกือบ 90% ของพื้นที่หลังคา

ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงให้กำลังสูงสุด 284 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร

ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ EDU II-10 Speeds

เลือกขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ไกลสูงสุดถึง 67 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง

“NEW MG HS PHEV” ราคา 1,359,000 ล้านบาท

 

จากนั้นช่วงปลายปีส่งมาอีกรุ่นคือ “NEW MG EP” รถแบบสเตชั่นแวกอน ออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC ดีไซน์ภายนอกกระจังหน้าแบบ Suspended Wing Grille ตกแต่งด้วยโครเมียมและ Piano Black

ไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์พร้อมไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน LED Daytime Running Light พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟท้าย LED แบบ Electric Pulse Design และไฟเบรก ดวงที่ 3 แบบ LED

ล้ออัลลอยดีไซน์แบบสปอร์ตขนาด 16 นิ้ว

ตกแต่งภายในด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่ม

หน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอล (Digital Multi-Function Display) ขนาด 7 นิ้ว ที่แสดงผลได้อย่างสวยงามและชัดเจน พร้อมระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล กระจกมองหลังตัดแสง กระจกไฟฟ้าแบบ One Touch Up-Down ด้านคนขับ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor

พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิด 260 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับเกียร์ไฟฟ้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8.8 วินาที ทำความเร็วสูงสุด 185 กิโลเมตร/ชั่วโมง

มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco และโหมด Sport

ใช้แบตเตอรี่ Lithium-Ion มีความจุรวม 50.3 kWh ขับเคลื่อนระยะทางไกลถึง 380 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง

“NEW MG EP” ราคา 988,000 บาท

 

รถพลังงานทางเลือกตัวเด่นอีกรุ่นไม่พ้น “ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี” เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่รถ “อีโคคาร์” มีพลังงานไฮบริดเป็นทางเลือก

ภาพรวมไม่ต่างจากซิตี้เครื่องยนต์เบนซินทอร์โบ โลโก้ฮอนด้าสีฟ้า (H Mark) และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย เสริมความสปอร์ตในสไตล์ RS รอบคัน ด้วยกระจังหน้าและสปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED

ห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะหนังกลับดีไซน์สปอร์ตตกแต่งด้วยด้ายสีแดง

ฟังก์ชั่นการใช้งานระดับพรีเมียม เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง พร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง

มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว

ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps พร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI

ระบบขับเคลื่อนถอดแบบมาจาก “แอคคอร์ด” เพียงแต่ย่อส่วนลงมา ด้วยนวัตกรรม Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว

ระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งเป็นระบบ Full Hybrid แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที

“ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี” ราคา 839,000 บาท

นอกจากรถราคาไม่สูงมากแล้ว ยังมีรถพลังงานทางเลือกรุ่นเด่นอื่นๆ อาทิ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี มีให้เลือก 2 รุ่น “จีที” ราคา 1,640,000 บาท และ “จีที พรีเมียม” ราคา 1,749,000 บาท

ไม่นับรถจากแบรนด์ยุโรปทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู อาวดี้ ฯลฯ ที่มีทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถไฮบริดมาให้เลือกอีกเพียบนับสิบๆ รุ่น

ปี 2563 จึงเป็นอีกปีที่รถยนต์พลังงานทางเลือกเฟื่องฟูเหลือเกิน