อนุสรณ์ ติปยานนท์ : สงครามรสชาติ

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (61)

อุทยานรส (7)

ปี 1910 นอกกรุงโซล คาบสมุทรเกาหลี

มีสองอย่างที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ชินจิ นากามูระ นั่งทบทวนเรื่องราวเหล่านั้น

เรื่องแรกคือ การเข้ายึดครองเกาหลีอย่างสมบูรณ์ของรัฐบาลญี่ปุ่น หลังจากวันที่ 22 สิงหาคม ที่กองทัพญี่ปุ่นได้เข้าล้อมพระราชวังขององค์จักรพรรดิในกรุงโซลและบังคับให้องค์พระจักรพรรดิลงนามยินยอมให้ผนวกรวมเกาหลีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น

เหตุการณ์นี้อาจดูเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ชินจิ นากามูระ กลับรู้สึกเหมือนดังว่ามันเป็นเพียงคลื่นจางๆ ในทะเลหรือลมที่พัดเบาบนภูเขา ไม่ช้าทุกอย่างจะสูญสลายไป

เขาไม่คิดว่าการยึดครองครั้งนี้จะดำรงอยู่ได้นานนัก อาจเป็นสิบปีหรือยี่สิบปีก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนในดินแดนนี้มีความรักในอิสรภาพของตนเองไม่ต่างจากชนชาวญี่ปุ่น

ดูเหตุการณ์หลายปีก่อนหน้านี้สิ กว่าที่กองทัพญี่ปุ่นจะปราบพวกขบถอิสระของชาวเกาหลีได้ราบคาบ ต้องสูญเสียเลือดเนื้อไปมากมายเพียงใด

และที่เขารู้มา อีกไม่นานกองทัพญี่ปุ่นจะบุกเข้าไปในประเทศจีน

แน่นอนแม้ว่า ณ เวลานี้ ราชวงศ์ชิงจะอ่อนแอสักเพียงใด ประเทศจีนก็คือดินแดนที่มีพื้นที่มหาศาล ไม่ใช่ประเทศเล็กๆ เราอาจยึดครองในสิ่งเหล่านี้ได้

แต่การปกครองโดยสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝัน

สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นไม่ใช่การยึดครองดินแดนที่มีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ สำหรับชินจิ นากามูระ การยึดครองดินแดนแห่งรสชาติต่างหากที่สำคัญ

ใครก็ตามที่ครอบครองความหวาน อ้อย น้ำผึ้ง ตาล ผู้นั้นย่อมครอบครองสิ่งสำคัญ

ใครก็ตามที่ครอบครองความเค็ม เกลือ น้ำปลา โชยุ ผู้นั้นย่อมครอบครองสิ่งสำคัญ

ใครก็ตามที่ครอบครองความเปรี้ยว ส้ม มะนาว กรด ผู้นั้นย่อมครอบครองความสำคัญ

และใครก็ตามที่ครอบครองความขม เปลือกไม้ ควินินหรือแก่นไม้ต่างๆ ผู้นั้นย่อมครอบครองความสำคัญ

แต่กระนั้นรสชาติที่กล่าวมาก็ยังเป็นรสชาติเฉพาะ รสชาติที่สูงที่สุดคือความอร่อย ที่มีใครบางคนในบ้านเกิดของเขาเรียกมันว่า “อูมามิ”

และมันกำลังจะถูกครอบครองโดยน้ำมือของบริษัทเล็กๆ บริษัทเดียว

เพียงแค่คิดถึงเรื่องราวที่ว่านี้ หัวใจของชินจิ นากามูระ ก็เจ็บแปลบ เขาควรเป็นบุคคลแรกที่ประกาศในสิ่งนี้

เขาควรเป็นบุคคลแรกที่แถลงการค้นพบในสิ่งนี้ แต่ดูเขาตอนนี้สิ นายทหารแห่งกองทัพพระจักรพรรดิที่ใครๆ ล้วนชื่นชมว่าทรงเกียรติ

แต่นายทหารเช่นเขากี่ร้อยกี่พันคนแล้วที่ตายจากโลกนี้ไปโดยไม่มีใครแยแสหรือใส่ใจ

นายทหารเช่นเขากี่ร้อยกี่พันคนแล้วที่เมื่อปลดประจำการก็เป็นเพียงชายชราท่าทีเงอะงะคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก มันแทบไม่มีค่าใดเลยต่อมวลมนุษยชาติ

เขาช่างเป็นมนุษย์ที่ไร้คุณค่าเสียนี่กระไร

เขาช่างเป็นมนุษย์ที่น่าเศร้าเสียนี่กระไรเมื่อเขาได้พลาดการค้นพบดังกล่าวไปเสียแล้ว

ชินจิ นากามูระ รู้ดีว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใดหลังข่าวคราวการค้นพบรสชาติ “อูมามิ” เดินทางมาถึงเขา แม้ว่าเขาจะยังคงเดินขึ้นป่าสนอย่างสม่ำเสมอเพื่อแสวงหาเห็ดมัตซึตาเกะ แต่เขาก็เก็บมันเพียงเพื่อไม่ให้มันตายจากโลกนี้ไปโดยไม่มีใครค้นพบ โดยไม่มีใครให้คุณค่า

ในหลายขณะ เขารู้สึกว่าเห็ดมัตซึตาเกะก็แทบไม่แตกต่างจากเขา มีชีวิตเพียงชั่วครู่ในโลก เบ่งบาน อวดตนอย่างเด่นชัด และผุพัง เหี่ยวเฉาไปก่อนที่ใครจะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมันเสียอีก

ชีวิตเป็นความน่าเศร้าประการหนึ่ง ดังบทกวีไฮกุที่เขาเคยได้ยินในสมัยเด็กที่ว่า “ชีวิตคนไม่ต่างจากน้ำค้างที่กลิ้งไปมาบนใบบัว เพียงไม่กี่นาทีเมื่อต้องแสงแดด น้ำค้างนั้นก็ระเหยไปสิ้น”

เป็นเช่นนั้นเอง

ทำไมหนอ เขาจึงไม่อาจสลัดความรู้สึกที่ว่านี้ได้เสียที

ทำไมหนอเขาถึงไม่อาจยอมรับในความล้มเหลวที่ว่านี้ได้

ชินจิ นากามูระ แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่ศรัทธาในการทหาร แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่มีการศึกใดที่เราจะชนะได้ตลอดกาล เราต้องเรียนรู้ความพ่ายแพ้พอๆ กับเรียนรู้การเป็นผู้ชนะ แต่เขากลับไม่อาจทำใจพ่ายแพ้ในสนามรบแห่งรสชาติได้

เขาผู้เคยถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีความสามารถในการแยกรสต่างๆ ออกจากกันได้เหนือกว่าใคร แต่บัดนี้ เขากลับนอนลืมตาอยู่ในความมืดในค่ายทหารที่ปกครองประเทศอันยิ่งใหญ่ ในเครื่องแบบทหารที่ทุกคนเกรงขาม

เขานอนลืมตาอยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้

ชินจิ นากามูระ ตัดสินใจลุกออกจากเตียง เป็นการตัดสินใจที่ฉับพลัน ในการศึกสงคราม ผู้แพ้ควรตายอย่างมีเกียรติ ในวาระดังกล่าวการทำ “เซปปุกุ” หรือการคว้านท้องตนเองคือสิ่งที่มีค่ามาก

ทว่าในสงครามรสชาติ เขาควรตายแบบไหน ชินจิ นากามูระ คิดถึงการตระเวนไปในโลกกว้างกินอาหารทุกชนิดจนในที่สุดก็พบกับอาหารที่เป็นพิษ ล้มลงระหว่างมื้ออาหารและสิ้นใจ

เขาควรตายลงด้วยท่วงท่าแบบนั้น

ชินจิ นากามูระ นำเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็นรวมถึงสิ่งของในการประทังชีวิตเล็กน้อย เขานำเงินเก็บทั้งหมดที่มีใส่กระเป๋าสะพาย ในช่วงที่ยังอยู่ในพื้นที่การควบคุมของทหารญี่ปุ่น เขาเชื่อว่าเขาคงใช้จ่ายเงินน้อยเต็มที แต่พ้นจากอาณาเขตของเกาหลีสู่จีน เขาอาจจำเป็นต้องใช้เงินบ้าง

การขึ้นเหนือจำเป็นต้องมีชุดที่อบอุ่น แต่ไม่ควรเตรียมทุกอย่างมากเกินไปเยี่ยงคนขลาดเขลา ก็เขากำลังเดินทางไปสู่ความตายมิใช่หรือ

การเตรียมสิ่งใดมากเกินไปจึงเป็นดังความฟุ่มเฟือย

เขาเขียนจดหมายขึ้นสองฉบับ ฉบับแรกมีถึงผู้บังคับบัญชาของเขา

เขาเขียนขอโทษที่ทำตัวไม่ต่างจากทหารหนีทัพ

แต่เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่พร้อมสำหรับการรบหรือการสงครามอีกแล้ว

ความรู้สึกยามนี้ของเขามีแต่ความสิ้นหวัง การจะนำทัพนั้นเป็นไปแทบไม่ได้เพราะแม้เพียงการดูแลตนเองเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะควบคุมตนเองได้อีกนานเพียงใด

เขาได้สูญเสียความสามารถในการทำสงครามไปเสียแล้ว

จดหมายอีกฉบับหนึ่งนั้น เขาเขียนถึงแม่ เขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา

เขาเขียนถึงเรื่องราวที่เขาประทับใจเกี่ยวกับแม่ เรื่องราวที่เขาไม่อาจลืมเลือน เรื่องราวที่ตราตรึงในความทรงจำของเขา และสุดท้ายแล้ว เขาเขียนคำอำลาต่อแม่และโลกนี้ เขาเสียใจที่ไม่อาจดูแลแม่ได้อีกต่อไป เขาเสียใจที่ทำตนเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต

แต่เขาตัดสินใจแล้ว

เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วที่จะตาย

ตอนที่ชินจิ นากามูระ ออกจากค่ายทหารนั้น ดาวศุกร์กำลังโผล่พ้นขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาเหลียวมองสถานที่ที่เขาได้พำนักอยู่อย่างถาวรเป็นที่สุดท้ายในชีวิตนี้ก่อนจะโจนขึ้นสู่หลังม้า

เขาควบม้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก แสงจากดวงอาทิตย์ในเวลาต่อมาทาบร่างของเขาเป็นเงายาวไปตามท้องถนนตลอดทาง

ในช่วงสองคืนแรกก่อนถึงเมืองเปียงยาง ชินจิ นากามูระ พักในโรงแรมเล็กๆ ที่เขาพบระหว่างทาง อาหารแต่ละมื้อที่นั่นไม่มีอะไรพิเศษ เขากินเพียงกิมจิกับข้าว แม้ว่าเจ้าของโรงแรมชาวเกาหลีคนหนึ่งจะคะยั้นคะยอให้เขากินอาหารพิเศษของโรงแรมก็ตามที

เขารู้ดีว่าอาหารที่ว่านั้นน่าจะปรุงมาจากเนื้อสัตว์เลี้ยงที่ทุกคนคุ้นเคย

จริงอยู่เขาปรารถนาที่จะตายเพราะการกิน แต่ไม่ใช่ด้วยอาหารแบบที่ว่านั้น เขาควรตายด้วยอาหารที่อันตรายกว่านั้น

เมื่อถึงเปียงยาง เขาพบกองทหารตั้งแถวตรวจผู้คน พวกทหารแปลกใจที่นายทหารระดับเขาเดินทางจากโซลมาโดยลำพัง อีกทั้งยังใช้ม้าแทนรถยนต์อีกด้วย

แต่กระนั้นเรื่องราวไม่ซับซ้อนจนเขากังวลใจ เขาขอพบกับนายทหารผู้ดูแล แจ้งกับเขาว่าเขามีราชการลับที่จะต้องเดินทางไปยังพรมแดนประเทศจีนเพียงลำพัง

นายทหารคนนั้นกุลีกุจอเตรียมน้ำและอาหารแห้งให้แก่เขาพร้อมกับแผนที่ในพื้นที่ดังกล่าวซึ่งมีประโยชน์มาก

เพราะอาหารแห้งนั้นเขามอบให้แก่คนเกาหลีที่เขาพบเจอระหว่างทาง เก็บไว้เพียงแผนที่และน้ำเท่านั้นเอง

เมื่อพ้นออกจากเปียงยาง ภูมิประเทศก็เต็มไปด้วยภูเขา แต่ชินจิ นากามูระ ไม่สนใจ เขาควบม้าผ่านไปตามหมู่บ้าน ผู้คนในหมู่บ้านพากันปิดประตูใส่เขาด้วยความหวาดกลัว

จนในที่สุดเขาก็พบว่าเครื่องแบบทหารนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น เขาโยนมันทิ้งลงข้างทาง สวมใส่เพียงเสื้อยืดสีขาวและแจ๊กเก็ตขนสัตว์

ราวแปดชั่วโมงหลังจากการออกเดินทางจากเมืองหลวงเขาก็ผ่านเข้ามาถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง สภาพของหมู่บ้านคล้ายดังหมู่บ้านโบราณในประเทศญี่ปุ่น เพียงแต่ว่าไม่มีบ้านหลังใดที่เปิดประตูอยู่เลย

เขามองหาโรงแรมก็ไม่พบ จนในที่สุดเขาก็ขี่ม้าพ้นออกจากหมู่บ้านมา เขาคิดว่าคืนนี้คงต้องนอนพักที่ข้างทาง

แต่แล้วในท่ามกลางความมืดเขาก็แลเห็นกระท่อมหลังหนึ่งที่มีแสงจากตะเกียงซึ่งถูกจุดจนสว่างไสวให้เห็นออกมาเบื้องนอก

เขาหยุดม้าที่หน้าประตูบ้านหลังนั้น ลงจากม้าและเคาะประตูบ้านหลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับ

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจถือวิสาสะผลักประตูเข้าไป ข้างในนั้นเป็นลานดินโล่งๆ ทว่าทุกด้านของฝาผนังเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำอาหารและเครื่องปรุง

ทว่ากลางลานโล่งนั้นเองมีหญิงสาวชาวเกาหลีผู้หนึ่งที่กำลังยืนอยู่หน้ากระจกเงาขนาดใหญ่กลางบ้าน