เมื่อ “โควิด-19” ปิดฉากชีวิตโลดโผนในโลกภาพยนตร์ ของ “คิมกีด็อก” | คนมองหนัง

คนมองหนัง

ชัยชนะบนเวทีออสการ์ของภาพยนตร์เรื่อง “Parasite” ผลงานการกำกับฯ โดย “บงจุนโฮ” มิใช่ความสำเร็จอันปราศจากที่มาที่ไปของวงการหนังเกาหลีใต้

เพราะตลอดช่วงเวลาราวสองทศวรรษหลัง ได้มีคนทำหนังรุ่นก่อนหน้าจำนวนหนึ่ง ซึ่งช่วยบุกเบิกแผ้วถางที่ทางให้แก่หนังเกาหลีในประชาคมภาพยนตร์นานาชาติมาโดยต่อเนื่อง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในนั้น ย่อมต้องมีชื่อ “คิมกีด็อก” (Kim Ki-Duk) รวมอยู่ด้วย

ภาพ “คิมกีด็อก” โดย ANNE-CHRISTINE POUJOULAT / AFP

คิมกีด็อกลืมตาดูโลกในชนบททางภาคตะวันออกของเกาหลีใต้เมื่อปี 1960 ก่อนที่เขาจะย้ายตามครอบครัวเข้ามาอาศัย-หาเลี้ยงชีพในกรุงโซล ขณะมีอายุ 9 ปี

คิมเรียนไม่จบชั้นมัธยมศึกษา แต่เขาเริ่มทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมตั้งแต่อายุ 15 ปี พออายุครบ 21 ปี เขาต้องเข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ และรับราชการในกองทัพต่อเนื่องจนถึงอายุ 26 ปี

จากนั้นคิมเลือกทำงานเป็นอาสาสมัครในโบสถ์คริสต์สำหรับผู้พิการทางสายตา กระทั่งเมื่อมีอายุครบ 30 ปี เขาจึงตัดสินใจไปผจญภัย-เผชิญโชคที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ที่ปารีส คิมกีด็อกได้ศึกษาเพิ่มเติมทางด้านศิลปะ เขาหาเลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างวาดภาพเหมือนตามท้องถนน

เขาเพิ่งมีโอกาสดูภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นั่น จนเกิดความคิดอยากจะทำหนังขึ้นมา

คิมกีด็อกเริ่มทำหนังยาวเรื่องแรกชื่อ “Crocodile” ในปี 1996 เวลานั้นเขามีอายุ 36 ปี อีกไม่ถึงสองทศวรรษถัดมา เขาค่อยๆ สั่งสมผลงานและชื่อเสียง จนกลายเป็นผู้กำกับฯ ชาวเกาหลีใต้เพียงรายเดียวที่ได้รับรางวัลหลักจากสามเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติระดับเมเจอร์ของโลกคือ เบอร์ลิน คานส์ และเวนิส

ปี 2004 คิมได้รับรางวัล “หมีเงิน (ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)” ในเทศกาลหนังเบอร์ลิน จากหนังเรื่อง “Samaritan Girl”

ณ ปีเดียวกัน เขาได้รับรางวัล “สิงโตเงิน (ผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)” ในเทศกาลหนังเวนิส จากหนังเรื่อง “3-Iron”

ปี 2011 ภาพยนตร์เรื่อง “Arirang” ทำให้เขาได้รับรางวัล “Un Certain Regard” จากเทศกาลหนังเมืองคานส์

ก่อนที่เขาจะนำผลงานเรื่อง “Pieta” คว้ารางวัล “สิงโตทองคำ (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)” จากเทศกาลหนังเวนิส เมื่อปี 2012

กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่า คิมกีด็อกคือหนึ่งในคนทำหนังรายสำคัญของกระแส “คลื่นรุ่นใหม่แห่งทวีปเอเชีย” ซึ่งเข้ามาสร้างเสริมสุนทรียะอันผิดแผกแตกต่างให้แก่วงการภาพยนตร์โลกยุคศตวรรษที่ 21

และดีไม่ดี คิมอาจเป็นผู้กำกับฯ ในกลุ่ม “เอเชียน นิว เวฟ” ซึ่งก่อให้เกิดวิวาทะมากที่สุด

ในด้านหนึ่ง แม้จะมีเสียงยอมรับนับถือว่าคิมคือคนทำหนังอาร์ตคุณภาพสูง ที่แฝงอารมณ์เศร้า หลอน หดหู่ และเป็นขวัญใจของเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ

แต่อีกด้าน หนังที่มักคลี่เผยมุมมืดภายในจิตใจมนุษย์ของเขาก็ก่อประเด็นขัดแย้งหรือข้อถกเถียงในหมู่คนดู เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงป่าเถื่อน ฉากเซ็กซ์อันล่อแหลม หรือฉากทรมานสัตว์ ซึ่งปรากฏบนจอภาพยนตร์

อย่างไรก็ดี คิมกีด็อกยังเคยทำภาพยนตร์แนวจิตวิญญาณ/ศาสนาเรื่องเยี่ยม คือ “Spring, Summer, Fall, Winter … and Spring” (2003) ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวว่าด้วยสังสารวัฏหรือฤดูกาลอันหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านของชีวิต ผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครกลุ่มหนึ่งบนอารามทางพุทธศาสนาที่ลอยเลื่อนอยู่กลางน้ำ

หนังเรื่องนี้ได้รับปฏิกิริยาบวกจากผู้ชมทั่วโลก และถือเป็นหนึ่งในผลงานคลาสสิคของวงการภาพยนตร์เกาหลียุคใหม่

“ปีเตอร์ แบรดชอว์” นักวิจารณ์จาก “เดอะ การ์เดียน” เขียนบรรยายเอาไว้ว่า คิมนั้นเหมือนเพื่อนผู้กำกับฯ ร่วมรุ่นอย่าง “ปักชานวุก” ตรงที่ทั้งสองต่างล่วงรู้วิธีการนำเสนอภาพความรุนแรงบนจอภาพยนตร์ เขายังคล้ายคลึงกับ “อีชางดง” ที่สนใจในประเด็นความเป็นคริสเตียนและแนวคิดเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทว่าจุดเด่นสำคัญประการหนึ่งที่หล่อหลอมและดำรงอยู่ในชีวิตการทำหนังของเขา เมื่อพิจารณาผ่าน “Spring, Summer, Fall, Winter … and Spring” ผนวกด้วยหนังที่ได้รับรางวัลจากเบอร์ลิน-คานส์-เวนิส ตลอดจนผลงานเรื่องอื่นๆ เช่น The Isle, Bad Guy และ Breath

ก็คือความเป็นผู้กำกับฯ แนว “พังก์-พุทธ” ที่ดื้อด้าน และอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ใดๆ

ตลอดเส้นทางการทำหนังของเขา คิมกีด็อกพยายามรักษาระยะห่างจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีอยู่เสมอ

โดยเขามักเลือกจะรับเหมาทำงานเขียนบท-กำกับฯ-ลำดับภาพ-ถ่ายหนังด้วยตัวเองทั้งหมด ส่งผลให้ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ของคิมไม่ต้องใช้งบประมาณมากมายมหาศาล และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาระบบสตูดิโอหรือบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่

นอกจากนั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งขบวนการเคลื่อนไหว #MeToo ก่อกำเนิดขึ้น คิมยังประสบปัญหาเรื่องชีวิตส่วนตัว เมื่อเขาถูกกล่าวหาว่าเคยล่วงละเมิดทางเพศนักแสดงหญิงหลายราย

มีบางกรณีที่ศาลพิพากษายกฟ้องคิมกีด็อก เพราะขาดหลักฐานการกระทำความผิดทางกายภาพ

ทว่าต่อมากลับมีนักแสดงหญิงอีกสามรายที่ออกมาเปิดโปงหลักฐานใหม่ว่าพวกเธอถูกผู้กำกับฯ ดังล่วงละเมิด ในรายการข่าวแนวสืบสวนสอบสวนทางสถานีโทรทัศน์

นั่นนับเป็นจุดสิ้นสุดที่ผลักไสให้คิมต้องตัดสินใจปลีกตนเองออกจากประเทศบ้านเกิด

ล่าสุด คิมกีด็อกเดินทางไปประเทศลัตเวียตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยเขามีแนวโน้มจะหาซื้อบ้านและปักหลักอยู่อาศัยที่นั่น

ก่อนที่เขาจะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จนล้มป่วยและเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ขณะมีวัย 59 ย่าง 60 ปี