จับตา “ไปป์บอมบ์” ลูกโซ่ ตูมที่ 3 ร.พ.พระมงกุฎฯ โยงระเบิดการเมืองปี “50 : ในประเทศ

บทสรุปต่อเหตุการณ์วางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2560

ไม่ว่าจากทหาร คสช. และตำรวจ

ตรงกันว่ามีส่วนต่อเนื่องเชื่อมโยงกับระเบิดหน้ากองสลากเก่า วันที่ 5 เมษายน 2560 และระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ วันที่ 15 พฤษภาคม 2560

เพียงแต่ยกระดับความรุนแรงมากขึ้น

กล่าวคือ ระเบิดหน้ากองสลากเก่าและระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ หวังผลเพียงเพื่อสร้างสถานการณ์ก่อกวน ให้สังคมเกิดความปั่นป่วน ตื่นตระหนก

ไม่ได้หวังผลให้บาดเจ็บล้มตาย

แต่ระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า แตกต่างออกไป

มีการนำ “ตะปู” มาเป็นส่วนผสม

ชี้ชัดถึงการยกระดับความเหี้ยมโหด ไม่ได้หวังผลแค่ให้เกิดความแตกตื่น แต่มุ่งหมายให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ ไปจนถึงขั้นสูญเสียชีวิต โดยไม่เลือกเป้าหมาย

ผลคือมีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 25 คน

สำหรับวัตถุพยานเชื่อมโยงระเบิด 3 ลูกเข้าด้วยกัน

เจ้าหน้าที่หน่วยตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุระเบิด หรืออีโอดี เปิดเผยว่า ได้แก่ ท่อพีวีซี ไอซีไทเมอร์ ตัวบรรจุเชื้อปะทุ ตัวเก็บประจุ แบตเตอรี่ สายไฟ

ลักษณะวงจรระเบิดประกอบขึ้นเหมือนกันทั้ง 3 จุด เป็นชนิดแสวงเครื่อง จุดชนวนด้วยการตั้งเวลา

จากการตรวจสอบขยายผลพบด้วยว่า ระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ไม่เพียงมีลักษณะร้อยต่อเป็นลูกโซ่กับระเบิดหน้ากองสลากเก่าและหน้าโรงละครแห่งชาติ

ยังเชื่อมโยงไปถึงเหตุระเบิดก่อกวนทางการเมืองอีกหลายลูกในปี 2550 หรือเมื่อ 10 ปีก่อนในยุครัฐบาลหลังการรัฐประหาร 2549

ส่วนจะเกิดจาก “แรงจูงใจ” ทางการเมืองด้วยหรือไม่

ไม่ว่าจากการประเมินโดยทหาร-คสช. ไม่ว่าจากการประเมินโดยตำรวจ

ยังไม่ฟันธงลงไปชัดเจน

กรณีจดหมายเตือนก่อนเกิดเหตุระเบิดล่วงหน้า 3 วัน ลงชื่อ “โจรกลับใจ”

ยังเพิ่มความสับสนให้กับสถานการณ์มากขึ้น

ระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

จากการตรวจสอบของตำรวจชุดคลี่คลายคดี ภายใต้การนำทีมของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฉายให้เห็นภาพเหตุการณ์ในเบื้องต้นได้ว่า

คนร้ายใช้วิธีอำพรางตัวเป็นคนมาเยี่ยมไข้ หรือผู้ใช้บริการโรงพยาบาล

ซุกซ่อนระเบิดไปป์บอมบ์ลักษณะเป็นแท่งกลม ความยาวประมาณ 1 คืบ

ใส่ไว้ในแจกันดอกไม้

ใช้เทปกาวสองหน้าแปะติดไว้กับฝาผนังห้องที่เกิดเหตุ “ห้องวงษ์สุวรรณ” ชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ เป็นห้องสำหรับนั่งรอรับจ่ายยาของคนไข้หรือญาติคนไข้

ตั้งเวลาก่อนเกิดเหตุ 2-4 ชั่วโมง

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ยืนยันว่า

ลักษณะการประกอบระเบิดเหมือนกับกลุ่มก่อเหตุระเบิดก่อกวนทางการเมืองในปี 2550 ทั้งบริเวณหน้าห้างเมเจอร์ รัชโยธิน หน้ากองบัญชาการกองทัพบก และซอยราชวิถี 26

ทั้งหมดยังไม่รู้ตัวผู้กระทำ แต่จากพยานหลักฐานเกี่ยวกับระเบิด พบวิธีการคล้ายกันมาก ส่วนจะเป็นเรื่องการเมืองเหมือนปี 2550 ด้วยหรือไม่ ยังไม่ยืนยัน

ด้าน พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับการหน่วยตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุระเบิด (อีโอดี) ระบุว่า ระเบิดในปี 2550 ที่เกิดเหตุ 3 จุด พบการจุดระเบิดด้วยไอซีไทเมอร์ พื้นฐานเหมือนกัน วิธีการต่างกัน

แต่เชื่อได้ว่าเชื่อมโยงกัน

สิ่งหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงระดับความ “ซีเรียส” ต่อกรณีระเบิดติดๆ กัน 3 ลูก

คือการที่ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคงของทหารทันทีหลังเกิดเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

กำชับตำรวจจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้

ในจำนวนระเบิด 3 ลูก หน้ากองสลากเก่า หน้าโรงละครแห่งชาติ หรือโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หากได้ตัวผู้ต้องสงสัยในคดีใดคดีหนึ่ง ซึ่งมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน หรือกลุ่มเดียวกัน

เชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลายได้

ไม่มีการสรุปฟันธงทั้งจากฝ่ายทหารและตำรวจ ว่าเหตุลอบวางระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามีสาเหตุแรงจูงใจมาจากเรื่องใดกันแน่

เป็นเรื่องการเมืองหรือไม่

แต่หากประเมินจากวันเกิดเหตุระเบิดตรงกับวาระครบรอบ 3 ปีรัฐประหารของ คสช. 22 พฤษภาคม 2557

ประเมินจากสถานที่เกิดเหตุโรงพยาบาลในพื้นที่ทหาร ภายใต้การดูแลของกรมการแพทย์ทหารบก

โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปยัง “ห้องวงษ์สุวรรณ” ไม่ใช่ “ห้องยงใจยุทธ” หรือ “ห้องติณสูลานนท์” ซึ่งอยู่ใกล้กัน

เมื่อทุกอย่างโคจรรอบสัญลักษณ์ของ คสช.

คำตอบก็น่าจะชัดเจน

ยิ่งเมื่อมีการนำระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เชื่อมต่อเข้ากับระเบิดหน้ากองสลากเก่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน และระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ ใกล้กับสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม

ก็ยิ่งชัดเจนเป็น 3 เท่า

ระเบิดเมื่อวันที่ 5 เมษายน อยู่ในบริบทของการประกาศบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ขณะเดียวกัน ระเบิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ก็อยู่ในบริบทของการเตรียมแถลงผลงาน คสช. ในวาระครบรอบ 3 ปี

เมื่อมาถึงระเบิดวันที่ 22 พฤษภาคม

จึงไม่เหลืออะไรให้ต้องสงสัยอีกต่อไป

ที่เหลือก็แค่ตามจับกุมตัวคนร้ายให้ได้เท่านั้น ซึ่งเป็นขั้นตอนยากที่สุด

โดยเฉพาะคดีวางระเบิด ส่วนใหญ่มักล้มเหลวในขั้นตอนดังกล่าว

การที่กล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุเสียถึง 9 ตัว จากทั้งหมด 13 ตัว

ด้านหนึ่งทำให้การสืบเสาะหาเบาะแสมือวางระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เป็นไปอย่างค่อนข้างลำบาก

โดยเฉพาะห้องวงษ์สุวรรณ จุดคนร้ายนำระเบิดซุกแจกันดอกไม้ไปวาง ไม่มีกล้องวงจรปิด

ด้านหนึ่ง แสดงให้เห็นว่า คนร้ายรู้ข้อมูล “จุดอับ” กล้องวงจรปิดภายในโรงพยาบาลเป็นอย่างดี

ลักษณะเช่นนี้คล้ายกับจุดเกิดเหตุระเบิดบริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติ ใกล้สนามหลวง ทั้งที่เป็นพื้นที่อ่อนไหว แต่กลับไม่มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่

ความละเอียดรอบคอบของคนร้าย รวมถึงเทคนิคในการอำพรางตัว พอจะสรุปได้ว่าเป็นคนที่มีศักยภาพ “ไม่ธรรมดา” น่าจะมีประสบการณ์ช่ำชองในการก่อเหตุทำนองนี้มาแล้ว

สามารถก่อเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่สำคัญกลางกรุงได้ถึง 3 ลูกซ้อนในรอบเวลาไม่ถึง 2 เดือน โดยไม่ถูกจับกุม โดยเฉพาะระเบิดลูกที่ 2 และ 3 ทิ้งช่วงห่างกันเพียงแค่ 7 วัน

เขย่าฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลทหารจนสั่นสะเทือน

นอกจากนี้ ในกรณีระเบิดทั้ง 3 ลูก หากด่วนสรุปว่าเป็นฝีมือกลุ่มต่อต้านรัฐบาล คสช. อาจจะดูไม่สมเหตุสมผล

เนื่องจากตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ฝ่ายที่มีพฤติกรรมต่อต้านรัฐบาล คสช. ด้วยวิธีรุนแรง ล้วนถูกกลุ่มอำนาจหลังรัฐประหาร สั่งนำกำลังเข้ากวาดล้างจับกุมดำเนินคดี จนหมดสิ้น

ก่อนหน้านี้ในเหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ

ตำรวจชุดคลี่คลายคดีระบุคุณสมบัติผู้ก่อเหตุ นอกจากต้องมีความเชี่ยวชาญด้านการประกอบระเบิดเป็นพิเศษ ยังต้องมีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์

ครั้งนั้น พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการ คสช. เคยให้สัมภาษณ์แสดงความเห็น ไม่เชื่อว่าจะเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง เพราะคนกลุ่มนี้มุ่งหวังให้เกิดการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว

การสร้างสถานการณ์ปั่นป่วน ไม่ใช่แนวทาง

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม ระบุสั่งการฝ่ายความมั่นคงจับตาทุกคนที่ไม่หวังดีต่อรัฐบาล ทั้งฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาล

ระเบิดภายในโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

ยังมีสิ่งบ่งชี้เพิ่มเติมจากระเบิด 2 ลูกแรก นอกจากมีความเชี่ยวชาญเรื่องประกอบระเบิด มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ คนร้ายยังรู้เกี่ยวกับจุดอับกล้องวงจรปิด

โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมาย “ห้องวงษ์สุวรรณ”

หากไม่ใช่ระดับ “นักยุทธวิธี” ทางการทหาร ก็ยากจะคิดออกและลงมือทำได้