คำ ผกา | เฮียจ๋า เข้าใจไหมจ๊ะ

คำ ผกา

ฉันเป็นคนนอกวงการเพลง ดนตรี คอนเสิร์ตอย่างมาก

เกิดมาไม่เคยอยากไปดูคอนเสิร์ตอะไรกะใครเขาสักกะอย่าง

ดังนั้น จึงไม่รู้จักคอนเสิร์ตบิ๊กเมาเท่นอะไรนี่เลย

รู้แต่ว่า เป็นคอนเสิร์ตยิ่งใหญ่อลังการ เป็นงานประจำปีที่ทุกคนรอคอย

เป็นคอนเสิร์ตในฤดูหนาวอันแสนสั้นในเมืองไทย และเป็นคอนเสิร์ตที่ทำให้ทางไปเขาใหญ่รถติดที่สุด

และคอนเสิร์ตบิ๊กเมาเท่นก็คงมีความเพียงเท่านี้สำหรับฉัน หากประเทศไทยไม่ได้อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและกำลังยื้อยึดฉุดกระชากกันอยู่ระหว่างกลุ่มคนที่อยากเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย กับกลุ่มคนที่อยากดองประเทศไว้กับระบอบศักดินาไฮบริดกับเผด็จการทหาร

มันเริ่มตั้งแต่ที่มีข่าวว่า แอมมี่ นักร้องที่เอาสีไปสาดตำรวจ เข้าร่วมม็อบ ขึ้นเวทีปราศรัย และประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจน ต้องออกมาประกาศถอนตัวไม่ร่วมคอนเสิร์ต เพราะมีกระแสต่อต้านออกมา ทำนองว่า ถ้าแอมมี่ไปเดี๋ยวงานไม่ได้จัด นักร้อง ศิลปิน ผู้จัดงานและคนอีกหลายร้อยชีวิตจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย

เดี๋ยวเวทีคอนเสิร์ตจะทำให้กลายเป็น “การเมือง”

การเมืองอยู่ในทุกปริมณฑลในชีวิตของเราจริงหรือเปล่า คงต้องอภิปรายได้อีกยาว

แต่ในโมงยามที่การขับเคี่ยวระหว่างคนสองกลุ่ม สองอุดมการณ์ในเมืองไทยตอนนี้มันกำลังอยู่ในจุดสูงสุดแห่งความขัดแย้งแล้ว จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ทุกที่ ทุกเหตุการณ์ ทุกงานอีเวนต์ จะต้องถูกแปลงให้กลายเป็น “นิทรรศการการเมือง” ไปอย่างช่วยไม่ได้

เพราะฝ่ายศักดินาไฮบริดเผด็จการก็รู้สึกเหมือนถูกผลักเข้ามุมเรื่อยๆ

และฉันค่อนข้างมั่นใจว่า (ยกเว้นหลัง 2475 ใหม่ๆ) ไม่มีเคยมีครั้งไหนที่ฝ่ายอนุรักษนิยมจะรู้สึก helplessness ขนาดนี้มาก่อน

ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฝ่ายอนุรักษนิยมจะรู้สึกว่าตนเองไร้สิ้นซึ่งความนิยมชมชอบขนาดนี้มาก่อน

ไม่เคยมีครั้งไหนที่ฝ่ายนิยมศักดินารู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวตลกของสังคมขนาดนี้มาก่อน

พวกเขาจึงต้องดิ้นให้สุดแรงเพื่อยืนยันความถูกต้อง ชอบธรรมของตัวเองในทุกวิถีทาง

และยิ่งดิ้นก็ยิ่งตีบตัน ยิ่งดิ้นก็ยิ่งถูกผลักไสให้ทำในสิ่งที่ชวนหัว น่าขันไปเรื่อยๆ

ยิ่งชวนหัว น่าขัน ความชอบธรรมก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ

ทีนี้ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ถ้าเป็นสัก 5 ปีก่อน การเป็นสลิ่ม หรือเป็น กปปส. เป็นสิ่งที่ขายได้ เป็นสิ่งที่เอาไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดียแล้วเก๋ เพราะคนเก๋ๆ ใครๆ เขาก็เป็นสลิ่มและเป่านกหวีดกันทั้งแหละ

แตงโม ม้า สินจัย ใดๆ ก็มาหมด ดาราน้อยใหญ่ นางแบบน้อยใหญ่ ศิลปินน้อยใหญ่ ปัญญาชนน้อยใหญ่ เจ้าของร้านอาหาร นักเขียน ผู้กำกับการแสดง เอ่ยชื่อมาเถอะ คนเก๋ๆ ทั้งนั้นที่เป่านกหวีด

ตัดภาพมาตอนนี้ คนเก๋ๆ เหล่านั้นเผชิญกับภาวะอัสดงทางความเก๋ของคนกันเองไปหมดแล้ว

เป็น “เก๋ crisis” ทั้งโดยยุคสมัย ที่พวกเขาไม่ได้เป็นดารา พิธีกร เอลิสต์อีกต่อไป ไม่ใช่ผู้กำกับเอลิสต์ ไม่ใช่ศิลปินเอลิสต์อีกต่อไป

พูดให้ง่ายคือ หมดยุคสมัยของคนเหล่านี้โดยสิ้นเชิง

เพราะคนรุ่นใหม่ก็มีศิลปินในดวงใจของเขา เอ่ยชื่ออุ๊ หฤทัย ออกมาก็ไม่มีคนรู้จัก เอ่ยชื่อดารายุค 90s ที่ว่าโด่งดังกันนักหนาและพากันไปเป็นสลิ่ม เด็กอายุสิบกว่าๆ ตอนนี้ก็ทำหน้าเหวอๆ อีป้าเหล่านี้คือใครเหรอ?

พิธีกรตัวพ่อตัวแม่ คนข่าวอันดับต้นๆ ของเมืองไทยที่ใครๆ ก็แย่งกันซื้อตัวในยุคหนึ่ง ตอนนี้พอออกมาช่องเก่าก็แทบหาที่ลงไม่ได้ และเหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน นอกจากความเป็นพันธมิตร ความเป็น กปปส. และอุดมการณ์ “สลิ่ม” เป็นสินค้าที่ขายไม่ได้แล้วจริงๆ

ไม่ใช่ขายไม่ได้เพราะคนมีอคติ แต่สังคมไทยเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนอีกรุ่นหนึ่งที่ไม่ได้ถูกล้างสมองมาด้วยเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของการเมืองไทยยุคหลัง 2500 เป็นต้นมา

และคัมภีร์ของคนรุ่นนี้คือหนังสือทุกเล่มของสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน หนังสือเล่มที่ขายดีคือ หนังสือของธงชัย วินิจจะกูล หนังสือของขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี ของณัฐพล ใจจริง

ใครจะคิดว่า วันหนึ่ง ประจักษ์ ก้องกีรติ ธงชัย วินิจจะกูล หรือณัฐพล ใจจริง จะแมสขึ้นมาในสังคมนี้ไปเสียอย่างนั้น

ผลข้างเคียงของขบวนการทางการเมืองในช่วงสองถึงสามปีให้หลัง คือการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมมวลชน และไอคอนทั้งหมดของ pop culture : สิ่งที่ cool สิ่งที่ขายได้ ไม่ใช่อุดมการณ์ขวาจัดหนักแผ่นดินอีกต่อไป

แต่สิ่งที่ขายได้ในยุคนี้คือ การตื่นรู้ของคนรุ่นใหม่ว่าประชาธิปไตยต่างหากคือคำตอบ ประชาธิปไตยและการเดินไปบนเส้นทางของความเป็นสากลของหลักการสิทธิมนุษยชนต่างหากคือคำตอบ

คนรุ่นใหม่ในเมืองไทยต้องการสังคมแบบประเทศโลกที่ 1

พวกเขาอยากมีคุณภาพชีวิตแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว

พวกเขาเปรียบเทียบประเทศไทยกับประเทศในยุโรป

เปรียบเทียบประเทศตัวเองกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์

พวกเขาอยากมีผู้นำประเทศแบบนิวซีแลนด์-และมันง่ายมากที่จะเปรียบเทียบมันสมอง ความสง่างาม วุฒิภาวะ ความรู้เท่าทันโลก ระหว่างผู้นำไทยกับผู้นำประเทศอื่น

และบ่อยครั้งที่แม้แต่ในหมู่ประเทศด้อยพัฒนา และไม่ค่อยมีความเป็นประชาธิปไตยด้วยกันเอง ผู้นำของเรายังดูแย่กว่าผู้นำของประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัด

-ไอ้แม่เช็ด- เด็กมันคงสบถแบบนี้

เมื่อประชาธิปไตยกลายเป็น “กระแสหลัก” ใดๆ ที่เกี่ยวกับม็อบเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่ขายได้มากกว่า ได้รับการยอมรับมากกว่า

จึงเป็นธรรมดาอยู่เอง ไอคอนหรือสัญลักษณ์ของม็อบจะถูกนำไปใช้ในทุกหนทุกแห่ง

และยิ่งรัฐทำตัวโง่ๆ พยายามบีบคั้น ปิดปากประชาชน คนที่ต่อต้านอำนาจรัฐก็ยิ่งจะใช้พื้นที่สาธารณะทุกพื้นที่ ทุกเวทีไปเพื่อสื่อสารวาระทางการเมืองของตัวเอง

ไม่เพียงแต่สื่อสารทางการเมือง เราปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสประชาธิปไตยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อปไปแล้ว

เพราะที่ใดก็ตามที่มีสัญลักษณ์ของม็อบไปปรากฏตัวอยู่ ที่แห่งนั้น เหตุการณ์นั้นจะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จะขึ้นมาติดเทรนด์ทวิตเตอร์ ยอดวิวจะสูง

ดารา นักร้องที่ติดๆ ดับๆ ไปแล้ว หากผันตัวเองมาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยก็จะได้รับการชุบชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากที่เคยดับก็จะติด ที่ไม่มีงานก็อาจจะได้งานขึ้นมาใหม่ อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อภูมิทัศน์ทางการเมืองไทยมันเปลี่ยนไปแบบนี้ อีงานคอนเสิร์ตบิ๊กเมาเท่น แทนที่จะมีแต่นักร้อง มีดนตรี แถมแอมมี่ก็ไม่ได้ไปขึ้นเวที แต่ปรากฏว่า กลับเป็นเวทีคอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสัญลักษณ์ทางการเมือง

เป็ดหลง เป็ดเหลืองอะไรก็ไปโผล่ การตะโกน ไอเฮียทู การชูสามนิ้ว และต่างๆ นานาก็บังเกิด เพราะทำแล้วมันเรียกเสียงกรี๊ด เสียงเชียร์ เรียกความฮึกเหิมได้ดี

แม้กระทั่งคอสเพลย์ของวงดนตรีวงหนึ่ง กับภาพผ้าห่อศพ ที่ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร ก็ถูกโยงเข้ากับความหมายทางการเมือง ถูกตีความไปใหญ่โต ว่าสะท้อนการเรียกร้องเรื่องการอุ้มหายบ้างอะไรบ้าง

จนตัวศิลปินต้องออกมาชี้แจงเป็นพัลวัน

สิ่งที่เราต้องตบหัวเข่าฉาดใหญ่ๆ ว่า ซื้อหวยทำไมไม่ถูกบ้างคือ พลันที่มีการแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองบนเวทีคอนเสิร์ตแบบนี้ เจ้าหน้าที่ของฝ่ายราชการก็ปรากฏตัวขึ้นทันที มีคำสั่งให้ยุติการจัดคอนเสิร์ตทันที

เฮ้ย ทำแบบนี้ก็ฉิบหายสิคะ

งานจัดไปแล้ว เงินลงไปแล้ว ค่าจ้างค่าออน ค่าอุปกรณ์ทุกอย่างจ่ายไปหมดแล้ว บัตรก็ขายแล้ว

ไม่ให้จัดไม่ว่า แต่มายุบกันกลางงานแบบนี้มันเสียหาย

ชาวบ้านชาวเมืองเขาจะล้มละลายกันง่ายๆ

บางคนบางเจ้า อาจได้ค่ามัดจำมา ทำงานไปก่อน แล้วค่อยเรียกเก็บเงิน เกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะไปเรียกเก็บเงินกับใคร เพราะเจ้าของงานก็เจ๊งเหมือนกัน

แต่เงินที่ลงทุนไปแล้ว คือลงไปแล้ว บางคนอาจจะเอาเงินกู้มาลงทุนทำด้วยซ้ำ เพราะช่วงโควิดทุกคนในอุตสาหกรรมบันเทิง คอนเสิร์ตก็เจ็บตัวกันหมด ก็หวังว่าจะฟื้น จะได้ลืมตาอ้าปากกันบ้างหลังจากงานนี้

สุดท้ายฝันสลาย

พิษภัยที่น่ากลัวของโควิด-19 ในประเทศไทย จึงไม่ได้มีพิษในเชิงระบาดวิทยา แต่ได้กลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองไปแล้วโดยสิ้นเชิง

นั่นคือ เป็นเครื่องมือที่จะปราบม็อบ ปรามม็อบ จับคนจัดม็อบไปลงโทษ เป็นเครื่องมือสกัดความเคลื่อนไหวทางการเมือง เป็นเครื่องมือทำรัฐประหารเงียบ ปล้นอำนาจของสภาไปไว้ในมือนายกฯ ในฐานะประธาน ศบค. ประธาน ศบศ. ประธานนั้น ประธานนี้เยอะแยะไปหมด จนสภาและ ครม.กลายเป็นหุ่นเชิด

โควิด-19 ในประเทศไทยกลายเป็นเครื่องมือกำจัดคนที่ต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ เป็นเครื่องมือรักษาอำนาจ คิดอะไรไม่ออกก็อ้างโควิดไปเรื่อยๆ บริหารล้มเหลวไปแปดร้อยอย่างก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เป็นเพราะโควิดมา

โควิดจึงเป็นเหมือนเครื่องมือเรียกค่าไถ่คนไทยไปในตัว เพราะหลังจากนี้ หากใครอยากจัดงานจัดคอนเสิร์ตก็ต้องบรีฟกันหนักว่า ห้ามใครมาแสดงสัญลักษณ์ไล่เผด็จการ ไม่งั้นโดนจับข้อหาแพร่โควิด

แต่ก็นั่นแหละนะ ฉันอยากบอกผู้มีอำนาจว่า ห้ามไฟไว้อย่าให้มีควัน ห้ามสุริยะแสงจันทร์ส่องหล้า ให้ได้ก่อนแล้วค่อยห้ามคนด่าไอเฮียทูกับห้ามคนชูสามนิ้ว

เข้าใจไหม เฮีย!