การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ดั่งว่าในสายธารอันไหลเชี่ยว

ย้อนกลับไปเมื่อวันอาทิตย์

09.02 น.

“ที่นี่ สถานีเชียงใหม่ ที่นี่ สถานีเชียงใหม่” เสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประกาศซ้ำๆ “ท่านผู้โดยสารที่กำลังจะลงจากรถ กรุณาตรวจดูสัมภาระของท่าน…”

“เรามาถึงกันแล้วนะ…” มีเสียงกระซิบเล็กๆ ดังขึ้น

“ฮื่อ”

“เตรียมตัวดีพอหรือยัง”

“…มั้ง”

ย่ำเท้าลงบนผืนดิน

“ถึงเชียงใหม่แล้ว กินอะไรกันดี!” ยินเสียงคนร้องถามกันไม่ไกล

“อะไรดีล่ะ!”

คนกลุ่มใหญ่เหลียวซ้ายแลขวา รอยยิ้มเปื้อนหน้ากันพร่างพราย ต่างแบกเป้สัมภาระด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

แน่ละ การท่องเที่ยวมักให้ความรู้สึกอย่างนี้

“ไปหากินข้าวริมน้ำปิงกัน!”

แต่ขณะนั้นเอง เสียงเล็กๆ ยังไม่หยุดพูด

“จะกินอะไรลงรึ แน่ใจรึจะกินได้ นอนหลับ จะมีความสุขอย่างพวกนักท่องเที่ยวนั่น”

และยังพูดต่อไปอีกเรื่อยๆ

“…กำลังจะไปแล้วนะ…หึ! กำลังจะต้องไปเจอแล้วนะ…”

“โธ่โว้ย ! หยุดพูดเสียทีได้มั้ย!” ตวาดไล่ตัวที่กำลังแสยะยิ้มอยู่ในโพรงกะโหลกของตัวฉันเอง

มีคนเหลียวมามอง สายตาที่จ้องทำให้รู้ตัวขึ้นทันทีว่าจะต้องรีบสลัดเสียงน่าชังนั้นออกไป แล้วรีบไปขึ้นรถประจำทางเสียที

 

11.05 น.

จบสิ้นการซื้อของในตลาด เดินทะลุมาถึงคิวรถเข้าอำเภอ

แต่ทันทีที่มองเห็นรถบัสสีส้มริมฝั่งถนน ทุกอย่างในสายตาก็กลับพร่างพราย

ตัวน่าชังในหัวกะโหลก เริ่มเปลี่ยนท่าทีของมันตามไปด้วย

“นี่สินะ เมืองที่เธอเคยอยู่ ดูนั่นสิ ต้นหางนกยูงเคยสูงแค่เข่า ตอนนี้เติบใหญ่ออกดอกสีส้มสะพรั่งเชียว สวยมั้ยล่ะ…”

ดวงตาขุ่นมัวของมันพยายามจะเบิกกว้างอย่างนักท่องเที่ยวบ้าง

“เฮ้ สวัสดีน้ำแม่ปิง ดูเธอเล็กลงนะ ไหลช้าด้วย…เฮ้! สวัสดีสะพานนครพิงค์ จำนี่ได้ไหม เมื่อก่อนมันเคยนั่งขายของแถวนี้ไง…ใช่ ตอนนั้นมันยังเป็นแค่เด็กตัวผอมๆ ดำๆ ลากเข่งปลาทูอยู่แถวนี้…

“อ้าว ! ทางเท้า! ว่าไง จำตีนมันได้มั้ยเล่า อะไรนะ…คนที่มันเคยเจอแถวนี้เหรอ ไม่รู้สิ…ไปอยู่ที่ไหนกันแล้วล่ะ!”

 

11.30 น.

รถโดยสารสีส้มเริ่มเคลื่อนออกจากที่ ได้ที่นั่งริมหน้าต่าง มีคนยิ้มให้พลางถาม

“ปิ๊กบ้านกาว่ามาแอ่วเจ้า”

รีบหุบเปลือกตาลงเสีย เหมือนนั่นเป็นคำถามหยาบคาย

วันจันทร์

05.00 น.

ลืมตาขึ้นเพียงลำพังในมุ้งมอมๆ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือคำพูดของผู้หญิงคนนั้นเมื่อเย็นวาน

หล่อนพูดกับพ่อ

“ตัวเป็นคนปรุงน้ำแกงเถอะ ข้าเจ้าไม่ใช่คนทำของกินเก่ง จะได้ไม่ต้องเปรียบเทียบกันกับใคร”

เสียงนกกระปูดร้องดังมาจากฝั่งน้ำทิศตะวันออก พอจะนึกภาพออกว่า ในอดีต…ขอบฟ้าเหนือทิวเขากำลังจะระเรื่อขึ้น และถ้าเป็นหน้าหนาว ขณะทุกแห่งฉ่ำไอน้ำค้าง จะเป็นเวลาที่แม่รีบลุกขึ้นมาก่อไฟนึ่งข้าว กลิ่นฟืนโดนไฟ เสียงไก่ เสียงนก…

 

05.30 น.

พลิกตัวนอนตะแคง พับแขนข้างหนึ่งหนุนแทนหมอน คิดถึงอีกเรื่องในตอนค่ำวาน

“มีน้อยก็ให้น้อยนะ มีมากไว้จะส่งมาให้อีก” พูดโดยไม่ยิ้ม แต่พ่อก็ยิ้มพยักหน้า ยื่นมือมารับเงิน

“ให้ใบใหญ่เสียด้วย” ผู้หญิงที่นั่งข้างพ่อพูดขึ้น

“พี่มันเป็นคนใจกว้าง” พ่อว่าอย่างติดตลก แต่ตัวฉันก็ไม่ได้ยิ้มตอบอยู่ดี

 

06.00 น.

“พี่…ตื่นหรือยัง จะไปตลาดไม่ใช่หรือ ช้านักเดี๋ยวไปวัดไม่ทัน”

เสียงพ่อร้องเรียกจากหน้าห้อง ดึงให้ตื่นขึ้นจากความคำนึง

มุดออกจากมุ้ง เพิ่งสังเกตว่า บนผนังบ้านไม่มีกรอบรูปของแม่อีกต่อไปแล้ว พ่อคงจะเก็บเข้าตู้ หรือวางไว้ที่ไหนสักแห่ง

คนตายจากไป แต่ความดีของเขาจะยังคงอยู่ บางประโยคในหนังสือ ความสุขแห่งชีวิต* บอกไว้อย่างนั้น

แต่แล้วก็อดคิดถึงคำพูดของยายพัดไม่ได้

“กูละแค้นใจนัก ทำไมคนดี ๆ ถึงตายเอา ตายเอา ทีคนชั่ว…สูมาเต๊อะ อย่างพ่อมึง เมียพ่อมึง ทำไมถึงยังอยู่ดีมีสุขกันนัก”

“พี่…ตื่นหรือยัง” เสียงพ่อร้องเรียกอีกหน

“ตื่นแล้วพ่อ” ร้องตอบออกไป

 

07.25 น.

“ไปทานขันข้าวให้แม่ แล้วเดี๋ยวพ่อจะพาไปบ้านตา” พ่อพูด

พยักหน้ารับ แต่ทันทีที่ย่างเข้าเขตวัด ก็เกือบใจเต้น

มองเห็นลานทราย หน้าพระวิหาร ต้นลาน ต้นมะปราง ต้นดอกพุดหน้ากุฏิ…และเหตุการณ์เมื่อวาน

เมื่อลงจากรถไฟ อย่างหนึ่งที่ทำก็คือ โทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่ง

“เธออยู่ที่ไหนหรือ” น้ำเสียงนั้นตื่นเต้นนักหนา

“สถานีรถไฟ”

“ฉัน…ฉันดีใจจังเลย” มีกระแสอุ่นจัดของอะไรสักอย่างไหลเวียนอยู่ในน้ำเสียงนั้น “แล้วเธอจะมาเยี่ยมเราไหม…”

“…ยังไม่แน่ใจ มาได้แค่ไม่กี่วัน”

“ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจ” น้ำเสียงปลายสายรีบพูด “งั้นรอนะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาเธอเอง”

“ที่ไหน…บ้านนะหรือ”

“จ้ะ ที่บ้าน”

วางหูโทรศัพท์ลง เดินออกจากตู้ บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร

 

[“ถ้าเธอมีบ้าน จะปลูกต้นอะไรบ้าง”

“อืม…ต้นอะไรดีนะ” ฉันเหวี่ยงย่ามไปด้านหลัง “กระถิน เล็บครุฑ ผักแคบ”

“นั่นผักต่างหาก ต้นไม้ดอกไม้สิจ๊ะ ไม่ใช่ของกิน”

“ต้นไม้แม่ปลูกเยอะแล้ว พวกดอกๆ ฉันก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ กินไม่ได้ ปลูกผักฮ้วนก็ได้ เวลามีดอกก็สวยดี แกงกินได้ด้วย ไม่ก็ผักดีด ผักเซียงดา”

“เธอนี่เห็นแก่กินจัง” ชื่นใจหัวเราะ “ทำกับข้าวก็ไม่เป็นสักหน่อย”

“อยากทำก็ทำได้ ตอนนี้มีแม่ทำให้กินก็ดีแล้วไง”

“…ฉันละอยากมีแม่เหมือนเธอจริงๆ” ชื่นใจพูด

“ชื่นใจ ฉันมีข่าวดีมาบอก ข่าวดีมากๆ พี่สาวฉันมาเมื่อคืน”

“เหรอจ๊ะ พี่ซื้ออะไรมาให้”

“เปล่า ไม่ได้ซื้ออะไรมา แต่พี่มาบอกว่ามีคนอยากได้ลูกจ้าง”

“เหรอ…จ้างไปทำอะไร แล้วจะจ้างใคร”

“ก็เรานี่ไง พี่บอกว่าเค้าอยากได้สองคน เอาไปอยู่โรงทำปลาทูในตลาด ช่วงปิดเทอมใหญ่นี่ล่ะ เธอสนใจมั้ย”

“สนใจ สนใจ แต่…ถ้าฉันไป ใครจะดูแลแม่กับยายล่ะ”

“เออ นั่นซี งั้นเธอไปถามแม่ดูก่อนมั้ย ถ้าแม่ไม่ได้เป็นอะไรมากช่วงนั้น เราไปทำงานกัน จะได้เก็บเงินมาปลูกบ้านไง”

“เอาๆ ถ้าเราได้ไปทำงานด้วยกัน ต้องดีแน่ๆ เลย”

“ถ้าเรามีเงิน อีกหน่อยจะนั่งรถบัสไปกินก๋วยเตี๋ยวในเชียงใหม่ก็ยังได้ พี่สาวฉันบอกว่า มีร้านก๋วยเตี๋ยวในกาดหลวงอร่อยมากๆ อยู่ใกล้คิวรถสันกำแพง มีลูกชิ้นทั้งหมูทั้งเนื้อ”

“ฉันเคยกินก๋วยเตี๋ยวครั้งหนึ่ง ตอนพ่อยังอยู่” ชื่นใจพูดบ้าง “ตอนนั้นเป็นไข้ พ่อก็เลยไปซื้อใส่ถุงมาให้ กินกับข้าวอร่อยมากเลย ใส่ถั่วดินป่นกับน้ำสีส้มๆ ลงไปด้วย เธอเคยกินหรือเปล่า”

“เคยกิน จริงๆ มาม่าก็เหมือนก๋วยเตี๋ยวนะ แต่เส้นอร่อยกว่า”

“ฉันไม่ค่อยได้กินมาม่าหรอก ของแพง”

“เอาไว้ถ้าเราไปทำงาน มีเงินเยอะๆ แล้วนั่งรถไปกินกัน ถึงเวลานั้น นั่งโต๊ะสั่งกันเต็มที่ กินคนเดียวทั้งชามเลย”

“เฮ้อ อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ จัง” ชื่นใจทำตาเคลิ้มฝัน

 

07.00 น.

“เอาละ เตรียมน้ำหยาดเลย”

เสียงพระพูด ขณะเตรียมประเคนชุดทานขันข้าวให้ผู้ล่วงลับ แต่ในหัวยังได้ยินเสียงนั้นอยู่

จากสายโทรศัพท์ในตู้

“พี่รู้มั้ย ฉันคิดถึงพี่มากๆ เลยนะ อย่าเพิ่งรีบกลับนะ ฉันจะไปหาเธอ”

พ่อนั่งพนมมืออยู่ข้างๆ เสี้ยวหน้าด้านข้างดูเอิบอิ่ม ผมดกหนาย้อมด้วยสีดำจนเป็นเงางาม พ่อดูมีความภูมิฐานขึ้นอีกมากด้วยซ้ำไป หากเทียบกับผู้ชายร่างหนาเทอะทะคนเก่า

 

วันอังคาร

04.30 น.

มีเสียงไก่ขันดังขึ้นจากทางทิศเหนือ ลืมตาขึ้นในความสลัวราง หวนนึกถึงภาพของสายน้ำที่ไหลซึมลงในดินใต้โคนต้นไม้

แม่หายลับไปกับกาลเวลา กระดูกคงป่นเป็นผงธุลี ไม่มีการบรรจุลงโกฐอย่างใครๆ ไม่มีแม้แต่ชายผ้าซิ่นเหลืออยู่ในบ้าน แม้แผ่นกระดานที่เคยย่างเหยียบยังบันทึกรอยเท้าแม่ไว้

ตัวฉันกลับมาในหมู่บ้านอีกครั้ง หลังจากลับหายไปกับกาลเวลามาราวๆ หนึ่งพันกว่าวัน และช่างไม่น่าเชื่อว่า ในช่วงเวลาระหว่างนั้น มีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมายและรวดเร็ว

ดั่งว่าในสายธารอันไหลเชี่ยว เราก็เป็นเพียงจอกแหนเล็กๆ ที่ไหลลอยคว้างเสมอมา