ข้อคิดหลังใช้ชีวิตเกษียณมา5ปีบริบูรณ์ | ธงทอง จันทรางศุ

ธงทอง จันทรางศุ

อย่าหัวเสีย จะได้ไม่เสียหัว

งานเขียนวันนี้จะมาสายธรรมะธัมโมนะครับ

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดี ฮา!

นับถึงวันนี้ชีวิตผมเป็นชีวิตข้าราชการเกษียณอายุอย่างเต็มภาคภูมิครบห้าปีบริบูรณ์แล้ว

เมื่อสองสามวันก่อนมีสำนักข่าวออนไลน์แห่งหนึ่งนัดมาพูดคุยกันกับผมที่บ้าน

เรื่องที่คุยมีสัพเพเหระมากมาย ส่วนมากเป็นเรื่องมุมมองและผลงานของผมในส่วนที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

ตอนท้ายเมื่อจบการพูดคุยแล้ว มีรายการขออัดเสียงเพื่อนำไปเผยแพร่ในระบบที่เรียกว่า Podcast ความยาวครึ่งชั่วโมง

ประเด็นพูดคุยเปลี่ยนไป กลายเป็นเรื่องมุมมองเกี่ยวกับชีวิตของผม

ผู้สัมภาษณ์คือคุณทรงกลด บางยี่ขัน แห่ง The Cloud ถามผมว่า ในวัยนี้ผมมีเคล็ดลับการครองตัวครองชีวิตอย่างไร จึงแลดูอิ่มเอมถึงขนาดนี้ (แปลว่าอ้วน?)

คำตอบง่ายนิดเดียวครับ ผมมีความสุขเพราะมองโลกในมุมบวก และหัวเราะเข้าไว้ อย่าไปโกรธใครง่ายๆ แค่นี้ก็ตัวเบาสบายแล้ว

เรามาพูดถึงข้อแรกก่อนไหมครับ

หลายท่านคงเคยได้ยินอุปมาอุปไมยที่เปรียบเทียบแล้วว่า ถ้าเรามองไปข้างหน้าแล้วเห็นแก้วน้ำใบหนึ่งที่มีน้ำอยู่ครึ่งถ้วย คนมองโลกในแง่ดีหรือมองโลกในมุมบวกก็จะบอกตัวเองว่า เรามีน้ำเหลืออยู่ตั้งครึ่งถ้วย พอระงับดับกระหายได้อย่างแน่นอน

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรามองโลกในแง่ร้าย เราก็จะบอกว่าน้ำพร่องไปแล้วครึ่งถ้วย ใครมาแอบกินไปก่อนเรา แล้วน้ำที่เหลืออยู่เราจะดื่มพอหรือ

น้ำครึ่งถ้วยเหมือนกัน แต่ใจของเรามองแล้วต่างกันมากไปคนละทิศคนละทางเลย

เราเห็นอย่างนี้แล้วต้องย้อนถามตัวเองว่า ความคิดแบบไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน

ลองดูอีกสักตัวอย่างหนึ่ง คราวนี้เป็นเรื่องของข้าราชการบำนาญที่เกษียณอายุแล้วจำนวนมากซึ่งรวมทั้งตัวผมเองด้วย

เมื่อเราพ้นจากตำแหน่งมาแล้ว แน่นอนว่าจะมีคนเข้ามาทำหน้าที่ทดแทนเรา ถ้าเรายังเอาใจไปผูกอยู่กับตำแหน่งหน้าที่เดิม เที่ยวไปเป็นห่วงกังวลเสียหมดว่า คนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนเราเขาทำอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ถูกใจ

อะไรที่เราริเริ่มขึ้นไว้แสนจะดีงามเขาก็มายกเลิกเปลี่ยนแปลงเสีย ใจของเราไปเป็นทุกข์ ติดยึดอยู่กับหน่วยงานและตำแหน่งเดิม

ทำนองว่าเป็นผีสิงเก้าอี้ อะไรแบบนี้ จะไปหาความสุขมาจากที่ไหนเล่า

สู้อยู่กับปัจจุบันดีกว่าครับ อะไรที่ผ่านเลยแล้วเราก็ไปแก้ไขไม่ได้

ตอนเราอยู่ในตำแหน่งหน้าที่เราก็ทำให้ดีที่สุด

เมื่อเราพ้นมาแล้วก็เป็นเรื่องของคนอื่นต้องทำหน้าที่นั้นบ้าง เรื่องที่เราต้องทำในปัจจุบันมีออกมากมายถมเถไป

แค่คิดว่ามื้อกลางวันวันนี้จะกินอะไรที่หมอไม่ห้ามบ้าง แค่นี้ก็ปวดหัวเต็มทีแล้ว ฮา!

ชีวิตราชการผมเป็นชายหลายโบสถ์

ทำงานมาทั้งที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงยุติธรรม สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ผมถือหลักของผมเองว่า เมื่อเราพ้นตำแหน่งหน้าที่มาแล้ว ถ้าหน่วยงานเหล่านั้นขอให้เราช่วยทำอะไร เช่น เป็นกรรมการ ไปสอนหนังสือหรือบรรยาย หรือเชิญเราไปร่วมกิจกรรมอะไร ถ้าไม่ติดขัดอะไรหนักหนาแล้วผมจะรับเชิญอยู่เสมอ

นึกเสียว่าตัวเองเป็นศิษย์เก่าของหน่วยงานเหล่านั้น เขาเรียกใช้แล้วก็ไม่ควรจะเล่นตัว

แต่ก็ไม่คิดจะวิ่งเต้นขวนขวายขอให้เขาตั้งเป็นโน่นเป็นนี่นะครับ

ละครบทที่เราต้องเล่นจบลงแล้วโดยสมบูรณ์

มองในมุมบวกคือยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ทำและควรจะทำ เช่น ทำงานอดิเรกที่ใจรักและไม่มีโอกาสทำได้ตอนที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ ไปเที่ยวกับเพื่อนหรือกับครอบครัว

ตอนเกษียณมาสดๆ ร้อนๆ นี่แหละครับต้องรีบทำ ถ้าเกษียณไปนานปีแล้วร่างกายของเราก็จะถดถอยไปเรื่อยๆ

เคยมีคนนินทาว่า สิบปีแรกหลังจากเกษียณจะเป็นวัยที่สนุกกับการกินการเที่ยว

ถัดจากนั้นอีก 10 ปี ระหว่างช่วงอายุ 70 ถึง 80 ปี รัศมีการเดินทางจะลดลง ไปไหนก็ไปได้แค่ละแวกบ้านไม่ห่างไกลมาก

พออายุ 80 ปีแล้ว เราจะติดบ้าน คือสมัครใจที่จะอยู่กับบ้านมากกว่าเดินทางไปไหนต่อไหน

และถ้าอายุยืนยาวไปจนถึง 90 ปี คราวนี้จะติดห้องครับ คือเดินบนเวียนอยู่ในห้องนอนของตัวเองนั้นแล

แม้รู้อย่างนี้ก็อย่าไปวิตกกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง มองเห็นเป็นความจริงเสียว่าใครต่อใครก็เป็นอย่างนี้ ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้น ก็ปรับตัวกันไปตามอัตภาพ ถ้าไปวิตกทุกข์ร้อนเสียตั้งแต่วันนี้ ชีวิตปัจจุบันจะมีความสุขหรือครับ

คราวนี้มาถึงข้อที่สอง คืออย่าไปโกรธใครเขาง่ายๆ

และถ้าจะให้ดีที่สุดก็อย่าไปคิดโกรธใครเขาเลย

เวลาเราโกรธเคืองใครไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ลองย้อนถามตัวเราเองสิว่า เรามีความสุขไหม ใจของเราร้อนรุ่มไหม

คนที่เราตั้งใจโกรธเขา เขาเดือดร้อนอะไรบ้างหรือไม่กับใจที่ร้อนเป็นไฟของเรา

ผมแน่ใจว่า ความทุกข์ร้อนเกิดขึ้นในตัวเราเองแล้วอย่างแน่นอน

ส่วนคนที่เราโกรธเขาจะทุกข์หรือไม่ผมไม่แน่ใจ

ผมเคยนั่งรถที่มีคนขับ บางคนเป็นคนอารมณ์ร้อนหงุดหงิดง่าย เวลาใช้ชีวิตปกติก็ดูเป็นคนใจเย็น แต่ทุกครั้งที่ลงไปนั่งหลังพวงมาลัยแล้ว แทบจะกลายเป็นอีกคนหนึ่งเลยทีเดียว รถข้างหน้าขับช้าไม่ทันใจก็ต้องบีบแตรเร่ง ใครมาขับรถปาดนิดปาดหน่อยก็เป็นฟืนเป็นไฟ ต้องเหยียบคันเร่งขึ้นไปเอาแพ้เอาชนะกันให้จงได้

อย่างเบาะๆ ก็ด่าโขมงโฉงเฉงอื้ออึงอยู่ในรถของเรานั่นเอง

แล้วใครได้ยินครับ ผมไง! ได้ยินเต็มสองหูเลยทีเดียว

คนขับรถอีกคันหนึ่งซึ่งคนขับรถของเราเห็นว่าเป็นปัญหา ขับรถเลยไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

ถ้ามีสติครบถ้วนก็ควรย้อนถามตัวเองว่า ความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อกี้นี้มีใครได้อะไรหรือเสียอะไรบ้าง ยุคสมัยนี้ทำเป็นเล่นไป เรื่องนิดเดียวแค่นี้เขายิงกันตายมามากแล้ว เรายังไม่ควรมาตายหรือเรื่องที่ไร้สาระขนาดนี้มิใช่หรือ

เมื่ออารมณ์ร้อนอารมณ์ร้ายเกิดขึ้นแล้ว สติปัญญาก็ดับสูญครับ

ผมเคยพบนะครับ มีคนเล่าให้ฟังว่าผู้บังคับบัญชาหลายคนหงุดหงิดมาก เวลาลูกน้องทำงานไม่ถูกใจ บางท่านของขึ้น ถึงขนาดเขวี้ยงแฟ้มที่ลูกน้องเอามาเสนอลงกับพื้นต่อหน้าต่อตากันเลยทีเดียว

ผมไม่ใช่นักขว้างหรือนักทุ่มน้ำหนักโอลิมปิก ทำแบบนั้นไม่เป็นครับ

ผมบอกตัวเองว่าผมเป็นครู ถ้าต้องไปพบเรื่องราวแบบนั้นผมก็จะขอให้น้องที่มาเสนอเรื่องนั่งลง แล้วลงมือสอนหนังสือแนะนำว่า เขาควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร หนังสือที่ร่างมาเสนอมีจุดบกพร่องอะไร (ในสายตาของเรา) ให้โอกาสน้องเจ้าของงานได้ชี้แจงมุมมองทัศนะของเขาบ้าง ไม่มีเรื่องอะไรต้องโกรธเคืองหม่นหมองกัน

ถ้าทำได้อย่างนี้ใจเราก็เป็นสุข คนรอบตัวก็สบายใจ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปมีใครนินทาลับหลัง

ชีวิตการทำงานของผมผ่านตำแหน่งหน้าที่และสถานการณ์มาแล้วนานาชนิด ข้าราชการรุ่นน้องที่ช่วยทำงานเป็นเลขานุการของผมหลายปีติดต่อกัน เคยออกปากว่า ถ้าผมบ่นด้วยความหงุดหงิดต่อว่าใครก็ตาม ใครคนนั้นต้องแย่และซวยเต็มที

เพราะนานปีทีหนมากกว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นสักครั้งหนึ่ง

อีกข้อที่สำคัญมาก เมื่อเวลาใครเขาไปนินทาว่าร้ายหรือด่าทอเราไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม ผมจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า ผมบกพร่องหรือทำไม่ดีจริงอย่างที่เขาว่าใช่หรือไม่ เพราะใครจะมารู้เรื่องตัวเราเองได้ดีกว่าตัวเราเล่า

ถ้าเรื่องที่เขานินทาว่าร้าย เป็นคดีมีมูลอยู่บ้าง เราก็รับคำเตือนเหล่านั้นมาปรับปรุงตัวเอง

แต่ถ้าไม่เป็นความจริง ถ้ามีโอกาสก็ค่อยหาทางอธิบายให้เขาเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง

แต่ก็มีบ่อยครั้งนะครับ ที่ผมปล่อยเลยตามเลย

คนเราจะนับถือตัวเองได้เพียงใดหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่คนอื่นติหรือชม แต่อยู่ที่ตัวเราเองส่องกระจกแล้ว มองเห็นใครอยู่ในนั้น เป็นคนดีคนเลวสักปานใดต่างหาก

คิดแบบนี้แล้วความดันจะไม่ขึ้นสูงครับ รักษาระดับอยู่ได้ตามมาตรฐานที่คุณหมออยากเห็น ขืนโกรธบ่อยๆ เดี๋ยวเส้นโลหิตในสมองแตกไม่รู้ด้วยนะเออ

สรุปง่ายนิดเดียวว่า อย่าหัวเสีย จะได้ไม่เสียหัว จริงๆ ครับ