วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู / เสถียร จันทิมาธร : แผนรุกอีกก้าว จากรัชทายาท

เสถียร จันทิมาธร

แผนรุกอีกก้าว จากรัชทายาท (74)

การแย่งชิงระหว่างรัชทายาทกับอวี้หวัง ยิ่งนับวันยิ่งมากด้วยความแหลมคม เสร็จจากกรณีของซิงกั๋วกง โหลวจือจิ้ง ก็เข้าสู่กรณีเหอจิ้งจง จากกรมอาญาก็เข้ามาสู่กรมมหาดไทย

กรณีโหลวจื้อจิงอาจเป็นส่วนของรัชทายาท กรณีเหอจิ้งจงกลับเป็นส่วนของอวี้หวัง

ยังไม่ทันที่กรณีเหอจิ้งจงจะมีบทสรุป สถานการณ์ก็ล่วงเข้าช่วงสิ้นปีของราชสำนัก งานสำคัญก็คือพระราชพิธีบวงสรวง ประการหลังนี้ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากสายตาอันแหลมคมของเซี่ยอวี้

มองเห็นโอกาสที่เอื้อประโยชน์มหาศาลต่อรัชทายาท

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของเหลียง สตรีวังหลังฐานันดรต่ำกว่าชั้นเฟยลงมาไม่อาจยืนหน้าแท่นพิธีบวงสรวง ต้องคุกเข่าอยู่วงนอก แต่ขณะรัชทายาทรดเหล้าบวงสรวงเสร็จ

ต้องประคองพระบิดาพระมารดาลุกขึ้นเพื่อแสดงความกตัญญู

ความลักลั่นอยู่ตรงที่สตรีแซ่เยว่ถูกลดตำแหน่งเป็นชั้นผินอันเนื่องแต่กรณีวางยาหนีหวงจวิ้นจู่อันอื้อฉาวแห่งราชสำนัก ขณะที่นางก็ยังเป็นมารดาให้กำเนิดของรัชทายาท

ทางหนึ่ง ฐานันดรต่ำต้อย ทางหนึ่ง ฐานันดรสูงศักดิ์

ในสถานการณ์เช่นนี้เซี่ยอวี้แอบกระซิบรัชทายาทให้ใช้โอกาสนี้เข้าวังร่ำไห้สำนึกผิด ณ เบื้องพระพักตร์ วิงวอนให้ฟื้นฟูตำแหน่งเฟยให้พระมารดา อย่างน้อยก็ให้มีตำหนักที่อยู่เป็นของตนเอง

วันหน้าค่อยหาวิธีตะล่อมฝ่าบาทรำลึกถึงความสัมพันธ์เพื่อหวนกลับสู่ตำแหน่งกุ้ยเฟยอีกครา

ยิ่งการเคลื่อนไหวคืบหน้า รายละเอียดยิ่งอึกทึกกระทั่งไปถึงหูของอวี้หวัง “ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการอภัยโทษพระสนมเยว่ให้ฟื้นฟูตำแหน่งเฟ่ยดังเดิมเพื่อร่วมพระราชพิธีบวงสรวง”

มีการตั้งประเด็นเป็นข้อสังเกตจากบัณฑิตคังซึ่งเพิ่งออกจากจวนหวี้หวัง

“พระสนมเยว่ฟื้นฟูตำแหน่ง ไม่ทราบอัจฉริยะฉีหลินที่เป็นคนลากนางลงจากตำแหน่งกุ้ยเฟยยามนี้ใช่เดือดเป็นฟืนเป็นไฟเช่นเดียวกับอวี้หวังไหม”

แล้วอัจฉริยะฉีหลิน เหมยฉางซู รับรู้เรื่องราวนี้อย่างไร

ตรงข้ามกับความคิดของบัณฑิตคัง หลังได้ยินข่าวคราวพระสนมเยว่ได้รับการอภัยโทษ เหมยฉางซูไม่มีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ

แม้เมื่อเหมิงจื้อออกจากวังหลวงมาร่วมสนทนาด้วยที่บ้านก็ยังไม่ตื่นเต้นมากนัก

เหมยฉางชูยิ้มเยือกเย็น “หรือรัชทายาทไม่มีเสด็จแม่ หลังการรดสุราบวงสรวงต้องประคองฝ่าบาทและหวงโฮ่วลุกขึ้น นี่จึงเป็นการแสดงความกตัญญูที่ถูกต้องตามขนบประเพณี”

“หา” เหมิงจื้อตะลึง “แต่ทุกปีที่ผ่านมา”

“พิธีบวงสรวงทุกปีเพราะสตรีสกุลเยว่เดิมที่เป็นกุ้ยเฟยชั้นเอกบวกกับมงกุฎ 9 มุกจึงได้ยืนเคียงพระวรกายเทียบเท่ากับองค์หวงโฮ่ว ดังนั้น รัชทายาทพอคุกเข่าประครองพระบิดา พระมารดา

ทุกคนจึงเข้าใจว่าสมควรเป็นเช่นนั้นมาตลอด

แม้แต่กรมพิธีการที่เข้าใจแบบแผนขนบธรรมเนียมมากที่สุดสมควรออกมาทักท้วงก็ยังไม่เคยเห็นออกมากราบทูลให้แก้ไขแต่อย่างใด คนอื่นๆ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะคำนึงถึงข้อนี้”

“ไฉนเสนาบดีเฉินแห่งกรมพิธีการจึงไม่เคยพูดถึง” เหมิงจื้อถามขึ้น

“เฉินหยวนเฉิง ใช่หรือไม่” รอยยิ้มจากเหมยฉางซูยิ่งเย็นชามากขึ้น “ภายนอกเหมือนเป็นกรมพิธีการที่ไม่เอนเอียงเลือกข้าง ในสายตาของเสนาบดีเฒ่ามีเพียงคำ ‘พิธี’ เท่านั้น

“เฮอะ เฮอะ ส่วนที่น่าขันที่สุดก็อยู่ตรงนี้”

ไขจากเหมยฉางซูคือ “นับแต่หลานโทนของเฉินหยวนเฉิงหนีทัพจากแนวหน้า ถูกเซี่ยอวี้ปกป้องจนรอดพ้นจากโทษประหาร เสนาบดีเฒ่าผู้นี้ก็กลายเป็นสุนัขตัวหนึ่งของหนิงกั๋วโหว

โอ ช่วยไม่ได้ ทุกคนมักติดค้างลูก-หลานตัวเองทั้งนั้น

เฉินหยวนเฉิงรู้ทั้งรู้ว่า หากว่ากันตามระเบียบราชประเพณี ตราบใดที่ยังมีหวงโฮ่วจะมีเยว่เฟยหรือไม่ก็ไม่ผิดธรรมเนียม ทว่าเขาไม่กล้าพูดออกมา 1 เพราะเซี่ยอวี้กำชับไว้ล่วงหน้า 2 เพราะเขาตระหนักว่าองค์จักรพรรดิก็แค่อยากหาข้ออ้างอภัยโทษเยว่ผินเท่านั้น”

เหมยฉางซูแค่นเสียงเหยียดหยันออกมาคำหนึ่ง “ขุนนางเก่า 2 รัชกาลผู้จงรักภักดีอะไรกัน ก็แค่จิ้งจอกเฒ่าผู้หนึ่งเท่านั้นเอง” เป็นคำพูดอันเปล่งออกมาอย่างฉะฉาน

ผลก็คือ เหมิงจื้อต้องนั่งตัวแข็งทื่อนานครึ่งค่อนวัน