ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 ธันวาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
เครื่องแบบ
เห็นการรณรงค์ไม่ใส่ชุดนักเรียนของกลุ่ม “นักเรียนเลว” ในวันเปิดเทอมแล้ว
ต้องยอมรับเลยว่าเป็นข้อเสนอที่ก่อให้เกิดการถกเถียงสูงมาก
มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ทั้งที่เรื่องนี้เคยมีการพูดกันมานานแล้ว
แต่เป็นเพียงแค่แนวคิด
ไม่ใช่การลงมือทำแบบวันนี้
เพราะวันนั้นมีนักเรียนหลายโรงเรียนกล้าที่จะไม่ใส่ชุดนักเรียน
แม้จะไม่ใช่ “ส่วนใหญ่”
แต่แค่ “ส่วนหนึ่ง” ก็ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ล้ำมาก
ล้ำกว่าแค่การถกเถียงกันในอดีต
เหตุผลของแต่ละฝ่ายก็คล้ายๆ เดิม
ฝั่งที่สนับสนุนเครื่องแบบนักเรียนมองว่าใส่ชุดเหมือนๆ กันจะได้เรียบร้อย ไม่เหลื่อมล้ำ
ลูกคนรวย-คนจน แต่งชุดเหมือนกัน
ฝั่งที่คัดค้านก็บอกว่าถ้าจะเหลื่อมล้ำ ใส่ชุดนักเรียนก็เหลื่อมล้ำได้
ตั้งแต่ชุดใหม่-ชุดเก่า
รองเท้าแพง-รองเท้าถูก
หรือแม้แต่ “กล่องดินสอ” ยังเหลื่อมล้ำเลย
หรือเรื่องประหยัด
ใครที่คิดว่าชุดนักเรียนประหยัด เพราะคิดว่าเด็กนักเรียนทุกคนจะแข่งขันกันแต่งตัวแพงๆ
เขาลืมคิดในมุมว่าถ้าเด็กสามารถใส่ชุดไปรเวตมาเรียน ไม่ต้องจ่ายค่าชุดนักเรียนเพิ่ม
ใส่ทั้งเรียนทั้งเที่ยว ชุดเดียวกัน
แบบนี้ประหยัดกว่าต้องซื้อชุดนักเรียนแน่นอน
ทั้ง 2 ฝ่ายมี “กรอบความเชื่อ” ที่แตกต่างกัน
แต่ประเด็นสำคัญที่ฝั่งสนับสนุนชุดนักเรียนลืมไปก็คือ แทนที่จะมาเถียงแทนนักเรียน
ก็ให้นักเรียนเลือกสิครับ
ไปบังคับเขาทำไม
ใครอยากใส่ชุดนักเรียนก็ใส่
ไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่
เรื่องแค่นี้ทำไมต้องบังคับกัน
เหมือนตอนเรียนมหาวิทยาลัย ใครอยากใส่ชุดนักศึกษาก็ใส่ ไม่อยากใส่ก็ไม่ต้องใส่
ถ้าเราอยากให้เด็กเติบโตทางความคิด
เราต้องมี “พื้นที่ว่าง” ให้เขาคิดเองเยอะๆ
ไปตีกรอบ ไปบังคับแทบทุกเรื่อง
แล้วบอกว่า “เด็กไทย” ไม่มีความคิดสร้างสรรค์
เราต้องให้เขาลองถูก ลองผิดบ้าง
แค่ปล่อยให้เขามีเสรีภาพคิดเองว่าจะใส่ชุดนักเรียนหรือไม่ใส่
เดี๋ยวเขาก็หาจุดที่เหมาะสมกับตัวเองได้เอง
ปล่อยให้ “ความคิด” ของเขาได้หายใจบ้างเถอะครับ
สมัยเป็นนักเรียน ผมไม่เคยตั้งคำถามกับ “ชุดนักเรียน”
แต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับ “ทรงผม” มากกว่า
อาจเป็นเพราะเข้าช่วงวัยรุ่น
อยากไว้ผมยาวบ้าง
ไม่ได้อยากไว้ผมยาวแบบนักร้องวงร็อก
แค่หัวไม่เขียวก็พอแล้ว
และไม่เข้าใจว่าทำไมจะปล่อยผมยาวกว่า 4 ซ.ม.ไม่ได้
ทั้งที่ไม่มีผลต่อความโง่หรือความฉลาดเลย
แต่เรื่อง “ชุด” นั้น ผมเริ่มตั้งคำถามเมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ถือว่ามีเสรีภาพเรื่องการแต่งกายสูงมากเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยทั่วไป
จะใส่ชุดอะไรก็ได้
ใส่ “รองเท้าแตะ” ก็ได้
ตอนเรียนผมใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าแตะตลอด
มีเสื้อ-กางเกงเก่าๆ ไม่กี่ตัว ใส่วนไปเวียนมา
แต่ไม่เคยรู้สึกด้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนที่แต่งตัวดีๆ เสื้อผ้าแพงๆ
“ธรรมศาสตร์” ทำให้เรารู้สึกเท่าเทียมกันมาก
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะบังคับให้นักศึกษาใส่รองเท้าหุ้มส้นเข้าเรียน
และในห้องสอบ
ห้ามใส่ “รองเท้าแตะ”
ตอนนั้นผมเป็นอุปนายกภายในขององค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ยอมไม่ได้
เรื่องนี้เรื่องใหญ่
มีการรณรงค์เรื่องนี้อย่างจริงจัง
เพราะเราไม่ได้คิดว่า “รองเท้าแตะ” เป็นแค่ “รองเท้าแตะ”
แต่เป็นเรื่อง “เสรีภาพ” ของนักศึกษา
เราไม่ใช่เด็กแล้ว เรามีสิทธิเลือกตั้งแล้ว
แค่เรื่องการแต่งกาย เรากลับไม่มีสิทธิเลือก
…ได้ไง
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยุคนั้นก็ดีนะครับ
ท่านรับฟัง แม้จะไม่เห็นด้วยกับเราก็ตาม
สุดท้ายเรื่องนี้ก็ตกไป
ตอนอยู่ธรรมศาสตร์ “ความคิด” ของผมเหมือนต้นไม้ที่มีพื้นที่ว่างให้แผ่กิ่งก้านได้อย่างเต็มที่
“เสรีภาพ” คือ “อากาศ”
ให้มนุษย์ได้หายใจอย่างเต็มปอด
ให้ต้นไม้แห่งความคิดได้เบ่งบาน
ผมจึงให้ความสำคัญกับ “เสรีภาพ” มาก
อะไรที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็ปล่อยให้เขามีเสรีภาพในการตัดสินใจ
เหมือนเราเลี้ยงลูก ถ้าบังคับทุกอย่าง
ห้าม-ห้าม-ห้าม แทบทุกเรื่อง
เด็กจะไม่ได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเลย
แต่ถ้าปล่อยให้เขาได้ล้มบ้าง ตัดสินใจเองบ้าง
เขาจะได้ “บทเรียน” ที่ต้องมีใครสอน
ซึ่งเป็น “บทเรียน” ที่สำคัญมากของชีวิต
เพราะชีวิตเป็นของเขา
เขาต้องเรียนรู้และตัดสินใจด้วยตัวเอง
เหมือนกับเรื่องชุดนักเรียน ถ้าไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลต่อการเล่าเรียนก็ปล่อยให้เขาตัดสินใจเอง
จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้
ให้เสรีภาพกับเขาเถอะ
ผมนึกถึงตัวเอง สมัยเป็นนักศึกษาต่อสู้เรื่องเสรีภาพในการแต่งกาย
ปฏิเสธเรื่องการบังคับใส่ชุดนักศึกษา
แต่มาวันนี้ ไม่ได้ทำงานประจำ มีอิสระในการแต่งกาย
จะเลือกใส่ชุดอะไรก็ได้
แต่ผมกลับเบื่อมากที่ต้องเลือกชุด
“ไอดอล” ของผมในเรื่องการแต่งกาย คือ “พี่เก้ง” จิระ มะลิกุล
และ “อัสนี-วสันต์”
“พี่เก้ง” จะมีชุดประจำ คือ เสื้อสีขาว และกางเกงสีน้ำตาล
“พี่ป้อม” ก็ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์
ทั้งคู่ใส่ชุดแบบนี้มานานหลายสิบปี
เพราะเขาเบื่อที่จะคิดว่าเช้านี้จะใส่เสื้อสีอะไรดี
ตอนนี้ผมก็คิดแบบ “พี่เก้ง” และ “พี่ป้อม”
ใส่เสื้อสีเดียวกันเกือบทุกวัน
ไม่ต้องคิดว่าจะใส่ตัวไหนดี
เมื่อผมมี “เสรีภาพ” ในการมี “เครื่องแบบ” ของเราเอง
คนอื่นก็มี “เสรีภาพ” เช่นเดียวกัน
… “เครื่องแบบ” ที่ไม่เหมือนกันทุกวัน