ชัดเจน

แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่พ้นจากเก้าอี้จากกรณีใช้ “บ้านหลวง” เป็นบ้านพัก

ในทางกฎหมาย “ประยุทธ์” ไม่ผิด

แต่ในทางการเมือง กรณีนี้เหมือนกับการเปลื้องอาภรณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์และกองทัพบก ให้เปลือยกายต่อหน้าสาธารณชน

ท่ามกลางแสงสว่างจาก “สปอตไลต์”

ทั้งนิสัยใจคอ และความมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นและหน่วยงานอื่น

ทำให้เราได้รู้ว่า “กองทัพบก” นั้นมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าหน่วยราชการต่างๆ

นายทหารที่เกษียณอายุสามารถอาศัยในบ้านพักต่อไปได้

ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ

และยังมีพลทหารรับใช้ด้วย

ในขณะที่ข้าราชการบางหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้พิพากษา

เกษียณปั๊บกลับไปอยู่บ้านตัวเองทันที

คำถามง่ายๆ ก็คือ ทำไมนายทหารจึงมีอภิสิทธิ์มากกว่าข้าราชการหน่วยงานอื่น

และถ้าอดีตผู้บัญชาการทหารบกอาศัยอยู่บ้านเดิม

แล้วผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่จะอยู่บ้านหลังไหน

เช่นเดียวกับนายทหารระดับสูงคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่บ้านพักเดิม

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าสนใจว่ากองทัพบกต้องสร้างบ้านหลังใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่

และงบฯ สร้างบ้านพักอาศัยให้นายทหารของกองทัพบกนั้นเปิดเผยหรือแฝงอยู่ในงบฯ ก้อนไหน

เป็น “ปริศนา” ที่เกิดขึ้นทันทีหลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ที่อ้างเรื่องบ้านพิษณุโลกไม่พร้อมที่จะเป็นบ้านพักของนายกรัฐมนตรี

บ้านพักส่วนตัวที่มีอยู่ก็ไม่สะดวกต่อการรักษาความปลอดภัย

“นายกรัฐมนตรี” ที่เป็นตำแหน่งทางการเมืองจึงใช้สิทธิ์อดีตนายทหารขออยู่บ้านเก่าของกองทัพบก

ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ

และมีพลทหารรับใช้ด้วย

คำถามก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เป็นนายทหารเกษียณที่ยากจน

เขาและภรรยามีทรัพย์สิน 128 ล้านบาท

และยังมีเงินจากการขายที่ดินของพ่อแบ่งให้ลูกสาว 2 คน เกือบ 200 ล้านบาท

ถ้าบ้านเก่าไม่สะดวกจริงๆ

ฐานะขนาดนี้ซื้อบ้านหลังใหม่ได้สบายๆ

อย่าลืมว่า “นายกรัฐมนตรี” ที่เป็นพลเรือนทุกคนก็อยู่บ้านส่วนตัว

หลายคนมีทรัพย์สินน้อยกว่า พล.อ.ประยุทธ์อีก

บ้าน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็อยู่ในซอย

ยิ่งบ้านของ “ชวน หลีกภัย” เป็นบ้านเช่าเก่าๆ อยู่ในซอยหมอเหล็ง

ไม่เห็นว่าใครจะมีปัญหาหรือกลัวอะไรเลย

“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นผู้หญิงยังไม่กลัวเลย

แต่นายทหารระดับอดีต “ผู้บัญชาการทหารบก” กลับกลัวเรื่องความปลอดภัย

ที่สำคัญ เงินในกระเป๋าไม่ยอมกระเด็นสักบาท

ชัดยิ่งกว่าชัด