ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 มกราคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ |
เผยแพร่ |
เมืองกาญจน์หรือกาญจนบุรีนี่แหละเมืองขุนแผนแท้ แม้ไม่ใช่เมืองเกิด แต่โคตรตระกูลรวมทั้งชีวิตช่วงวัยสำคัญล้วนอยู่เมืองกาญจน์ทั้งนั้น
กระทั่งบั้นปลายพระพันวษาโปรดให้เป็นเจ้าเมืองกาญจน์ ดังกลอนว่า
อ้ายขุนแผนพลายงามมีความชอบ
กูจะตอบแทนมึงให้ถึงที่
ขุนแผนให้ไปรั้งกาญจน์บุรี
มีเจียดกระบี่เครื่องยศให้งดงาม
และตำแหน่งเจ้าเมืองกาญจน์ก็คือ
ให้เป็นที่พระสุรินทฦๅชัย
มไหสูรย์ภักดีมีสง่า
แล้วตรัสสั่งคลังในมิได้ช้า
เติมเงินตราสิบห้าชั่งเป็นรางวัล
ตำแหน่ง “พระสุรินทฦๅชัย” นี้ปรากฏอยู่ในทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีลำดับที่ 13 อยู่ในเวลานี้
ขุนแผนเป็นลูกขุนไกรกับนางทองประศรี เมื่อเกิดมาได้ชื่อว่า พลายแก้ว ดังกลอนว่า
ปีขาลวันอังคารเดือนห้า
ตกฟากเวลาสามชั้นฉาย
เจ้ากรุงจีนเอาแก้วอันแพรวพราย
มาถวายพระเจ้ากรุงอยุธยา
ให้ใส่ปลายยอดพระเจดีย์ใหญ่
สร้างไว้แต่เมื่อครั้งเมืองหงสา
เรียกวัดเจ้าพระยาไทยแต่ไรมา
ให้ชื่อว่าพลายแก้วผู้แววไว
เมื่อเกิดนั้นอยู่สุพรรณฯ บิดาคือขุนไกรเป็นทหารอยุธยา ดังกลอนว่า
โปรดปรานเป็นทหารอยุธยา
มีสง่าอยู่ในเมืองสุพรรณ
ครั้นขุนไกรต้องโทษต้อนควายแทงควายตายหน้าที่นั่ง โทษถึงประหารชีวิต นางทองประศรีกับลูกคือพลายแก้วจึงหนีมาอยู่เมืองกาญจน์
ด้วยผัวเคยบอกเล่าแต่เก่าก่อน
ว่าญาติมีที่ดอนเขาชนไก่
ครั้นไปพบพวกพ้องของขุนไกร
เขาก็ทำเรือนให้มิได้ช้า
ทองประศรีกับลูกชายพลายแก้วอยู่ที่บ้านลาดหญ้า ท่าเสา เขาชนไก่ ที่เป็นแหล่งเมืองเก่ากาญจนบุรีก่อนจะย้ายเมืองมาอยู่ยังกาญจนบุรีปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ.2374 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 นี้เอง
พลายแก้วอยู่กับมารดาคือนางทองประศรีที่เมืองกาญจน์ บ้านลาดหญ้า ท่าเสา เขาชนไก่ ถึงอายุสิบห้าปีอยากเรียนรู้วิชาการจึงวอนแม่ให้หาอาจารย์ แม่พาไปบวชเณรวัดส้มใหญ่ มีอาจารย์คือสมภารบุญ วัดส้มใหญ่เวลานี้ยังมีอยู่ที่บ้านหนองขาว อำเภอท่าม่วง เมืองกาญจน์
บวชเรียนไม่ถึงปีก็เจนจบจนอาจารย์หมดภูมิ ส่งเณรแก้วไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลยก์กับขรัวมี
จากนี้แหละที่เณรแก้วมาใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่สุพรรณฯ
กระทั่งไปจบวิชาที่วัดแค มีสมภารคงเป็นอาจารย์
ถ้าจะเทียบภูมิรู้ก็เท่ากับว่าพลายแก้วจบระดับประถมวัดส้มใหญ่ เมืองกาญจน์ จบมัธยมวัดป่าเลไลยก์ และจบอุดมศึกษาที่วัดแค เมืองสุพรรณ
กระทั่งร้างหอไปทัพเชียงใหม่กลับมาได้เป็นที่ขุนแผน
อยู่หลังรังรวงก็ร่วงร้าง
กาเหยี่ยวเฉี่ยวล้างลงกลาดเกลื่อน
ห้องหับยับไปไม่เป็นเรือน
เพราะเพื่อนมิตรคิดคดขบถใจ
จากนี้ขุนแผนกลับมาอยู่เมืองกาญจน์ แต่มิวายไปมาระหว่างเมืองกาญจน์ สุพรรณฯ จนสุดท้ายขุนแผนถึงคราวตีดาบ ซื้อม้าหากุมาร ซึ่งเป็นช่วงผจญภัยอยู่เมืองกาญจน์ตลอด โดยเฉพาะได้นางบัวคลี่ที่บ้านถ้ำอยู่ฝั่งขวาน้ำแม่กลองที่ท่าม่วง กระทั่งย่างกุมารทองที่วัดใต้ตีดาบฟ้าฟื้น ที่ชื่อ “ฟ้าฟื้น” เพราะ
ได้นิมิตฟ้าเปรี้ยงดังเสียงปืน
ให้ชื่อว่าฟ้าฟื้นอันเกรียงไกร
จนถึงขุนแผนซื้อม้าสีหมอกที่ตามม้าหลวงมาจากเมืองมะริดในราคาสิบห้าตำลึง
ที่จริงเมืองสุพรรณกับเมืองกาญจน์นั้นเป็นเมืองแก้วเมืองเกลอก็ว่าได้ ด้วยเป็นเมืองเชื่อมด่านหน้าอยุธยาเมืองหลวงด้านตะวันตก
โดยที่เมืองกาญจน์นั้นติดแดนมอญเมืองพม่า ซึ่งอาณาจักรมอญรุ่งเรืองมาก่อนจะเป็นพม่าหรือเมียนมาปัจจุบัน
เมืองกาญจน์จึงมีชื่อเป็น “เจ็ดหัวเมืองมอญ” มาก่อน ดังมีเมืองสิงห์ เมืองลุ่มสุ่ม เมืองไทรโยค เมืองท้องผาภูมิ เมืองท่าตะกั่ว เมืองท่าขนุน เมืองท่ากระดาน
น่าสังเกตคือตระกูลขุนไกรล้วนสืบสายสกุล “พลาย” ตลอดตั้งแต่พลายแก้ว พลายงาม พลายชุมพล จนพลายเพชร พลายบัว
ว่ากันว่าตระกูลพลายเป็นตระกูลมอญ
เมืองกาญจน์จึงผูกพันกับเมืองมอญทั้งในประวัติศาสตร์อารยธรรม และวรรณกรรมที่เป็นดังมหากาพย์ตำนานบรรพชนของคนเมืองด่านตะวันตกที่สำคัญยิ่ง
สุดท้ายขุนแผนก็ปักหลักอยู่เมืองกาญจน์ ดังกลอนว่า
แสนสำราญอยู่บ้านกาญจน์บุรี
เปรมปรีดิ์เป็นสุขเกษมสันต์
ปรึกษาความสารพัดเป็นสัตย์ธรรม์
ทุกคืนวันแสนสุขสำราญเรือน ฯ