ฟ้า พูลวรลักษณ์ | มายาคติ รัฐธรรมนูญ 60 และคนรุ่นเก่าที่จะต้อง “ตาย” ไป

ฟ้า พูลวรลักษณ์

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก เล่มใหม่ (๗๗.๑)

วลีเด็ดของฝ่ายต่อต้านเด็กๆ คือ

๑ รัฐธรรมนูญ 60 นี้ได้มาจากประชามติ รับ ๑๖.๘ ล้านเสียง ไม่รับ ๑๐.๕ ล้านเสียง

๒ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกฯ อย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และได้คะแนนเสียงจากพรรคพลังประชารัฐ ๘.๔ ล้านเสียง ซึ่งถือว่า พรรคที่ได้คะแนนสูงสุด

ดังนั้น ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงมีความชอบธรรม และที่ว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เป็นตรงไหน

ฉันรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่าทำไมจึงยกมาเป็นวลีเด็ด ที่พูดไม่หยุดหย่อน

ในเมื่อการทำประชามติครั้งนั้น คณะ คสช.ไม่ยอมให้มีการออกมาพูด อธิบาย ว่าแบบไหนดีไม่ดีอย่างไร เป็นการยื่นกระดาษมาให้ประชาชนติ๊กเลือกอย่างเดียว ในบรรยากาศที่ว่า หากเลือกไม่รับ ทหารก็จะปกครองประเทศต่อไป

ประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เบื่อหน่ายและอยากมีการเลือกตั้ง จึงต้องติ๊กรับไว้ก่อน อีกทั้งยังบอกอีกว่า วันหน้าหากไม่ชอบ ค่อยมาแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้อธิบายต่ออีกว่า แก้ยากขนาดไหน

ข้อนี้ผิดหลักสากล การทำประชามติ ควรให้ประชาชนได้ออกมาแสดงความคิดเห็น ว่าข้อไหนควรไม่ควรอย่างไร ควรให้ความรู้แก่ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องสำคัญแบบนี้

นี้จึงเป็นการทำประชามติฉบับตีหัวเข้าบ้าน

ประการต่อมา พรรคที่หนุนประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างสุดโต่งคือพรรคพลังประชารัฐ พวกเขาได้คะแนนเสียง ๘.๔ ล้านจริง ซึ่งถือว่าไม่น้อย

แต่ทว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ก็ต่อต้านนายประยุทธ์อย่างสุดโต่ง และสองพรรคนี้ได้คะแนนเสียง ๗.๘ ล้านเสียง กับ ๖.๓ ล้านเสียง รวมกันสองพรรคคือ ๑๔.๑ ล้านเสียง

ซึ่งเป็นคะแนนเสียงที่ไม่เอาประยุทธ์มากกว่า

แบบนี้จะบอกว่าคนเอาประยุทธ์มากกว่า เป็นการพูดแบบไหนกัน

ฝ่ายต่อต้านเด็กๆ ออกมาพูดว่า พวกเราบางคนกำลังจะทนไม่ไหวแล้วนะ

พร้อมทั้งบอกว่าฝ่ายตนก็เป็นประชาชนเหมือนกัน และมีมากกว่า

คลื่นของมายาคติดังกล่าว มันแผ่ลามออกมา ไม่เพียงแต่จะเล่นงานเด็กๆ ยังลามไปถึงพรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้า

กล่าวคือ ตามล้างตามเช็ดเงาของคุณธนาธร และตามล้างตามเช็ดเงาของคุณทักษิณ

มายาคตินี้ถูกสร้างขึ้นมา และใช้ได้ผลเสมอมา มันมีพิษสงสุดคาดเดา

มายาคตินี้ทำลายได้ทั้งโลก อย่าว่าแต่ประเทศเล็กๆ อย่างเมืองไทยนี้เลย

ฉันรู้สึกแปลกๆ เช่นกัน รู้สึกทะแม่งๆ เพราะสังเกตว่า นี้คือเสียงของคนรุ่นเก่า เสียงของคนกลุ่มหนึ่ง เสียงที่แหลมเล็ก เสียงที่มาจากกาลเวลาหนึ่ง และสมมุติว่าพวกเขามีจำนวนที่มากกว่า แต่วันเวลาแห่งการมีชีวิตน้อยกว่า

สมมุติเสียงคนรุ่นเก่ากลุ่มนี้มี ๒๐ ล้านคน แต่ละคนจะมีเวลาเหลืออยู่คนละ ๓๐ ปี เท่ากับ ๖๐๐ ล้านปี

สมมุติเด็กรุ่นใหม่ ๑๐ ล้านคน แต่ละคนจะมีเวลาเหลืออยู่คนละ ๖๐ ปี เท่ากับ ๖๐๐ ล้านปีเช่นกัน

แต่ทว่ากาลเวลาเป็นลูกธนูที่พุ่งตรงไปข้างหน้า มีแต่เดินหน้าอย่างเดียว

วันเวลาแห่งการมีชีวิต มีแต่จะน้อยลง และน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้น ในปีหน้าเสียงคนรุ่นเก่ากลุ่มนี้จะลดจำนวนลง สมมุติว่าตายไป ๑ ล้านคน พวกเขาจะลดลงเหลือ ๕๗๐ ล้านปี

ห้าปีข้างหน้า คนรุ่นเก่ากลุ่มนี้จะเหลือ ๑๕ ล้านคน และมีวันเวลาที่เหลืออยู่ ๔๕๐ ล้านปี

แต่เด็กๆ เป็นตรงกันข้าม ปีหน้าจะมีเด็กอีกกลุ่มหนึ่งโตขึ้น จนมีสิทธิเลือกตั้งได้ สมมุติว่าคือ ๑ ล้านคน เท่ากับว่าปีหน้าเด็กๆ จะมีเสียง ๖๖๐ ล้านปี

และในอีกห้าปีข้างหน้า คะแนนเสียงของพวกเขากลายเป็น ๙๐๐ ล้านปี

ที่พวกคุณบอกว่าทนไม่ไหวแล้วนะ มองลึกลงไป คุณทนวันเวลาแห่งการมีชีวิตที่ลดลงเรื่อยๆ ไม่ได้มากกว่า ไม่เกี่ยวอะไรกับเด็กๆ เลย

และที่บอกว่า พวกคุณมีจำนวนมากกว่า พวกคุณลืมคำนวณวันเวลาแห่งการมีชีวิตไว้ด้วย

ลืมเก็บพลังไว้หายใจ

ตัวฉันมีอายุ ๖๗ ปี เท่ากับว่าฉันเป็นคนแก่ ผ่านชีวิตมาแล้วหกทศวรรษ กำลังเข้าสู่ทศวรรษที่เจ็ด ดังนั้นใจของฉันมองว่าแต่ละสิบปีนั้น ไม่นานเท่าไรเลย ฉันรอได้ หากบอกให้ฉันรอสิบปี ฉันก็รอได้

แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นั้น ใช้เวลายาวนานร่วม ๒๐-๓๐ ปี กว่าจะถึงวัยสืบพันธุ์ เทียบกับสัตว์อื่นถือว่ายาวนานมาก สัตว์อื่นอาจใช้เวลาแค่ ๒-๓ ปีก็สืบพันธุ์แล้ว แต่มนุษย์ไม่ใช่เช่นนั้น และยามมีลูก ทุกวันนี้มนุษย์จะมีลูกเพียง ๑-๒ คนเท่านั้น เรียกว่ามีน้อยมาก

แต่กระนั้นเด็กรุ่นใหม่เวลาเผชิญหน้ากับปัญหาใดๆ ในโลก พวกเขาจะเอาจริง เช่น ปัญหาโลกร้อน สำหรับพวกเขา มันจริงเหมือนสมัยพวกเราเจอสงครามเวียดนาม

สมัยพวกเรายังเป็นเด็ก อาจจะออกมาเดินขบวน เรียกร้องให้ยุติสงครามเวียดนาม ด้วยความร้อนรุ่ม แต่เวลาเจอปัญหาโลกร้อน พวกเราที่เริ่มแก่แล้ว กลับกลายเป็นเฉื่อยช้า แต่พวกเขาวันนี้ล่ะ พร้อมจะออกมาต่อสู้กับปัญหาโลกร้อนด้วยความร้อนในอก

และปัญหาทางการเมืองก็เช่นกัน สำหรับฉัน ค่อยๆ ทำก็ได้ รอสักสิบปีก็ไม่สาย แต่ทว่านั่นคือมุมมองของคนแก่ สำหรับเด็กๆ พวกเขาต้องการสิ่งใดก็ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่มีการรอ จะว่าพวกเขาใจร้อน ผิดเหตุผลก็ไม่ได้ เพราะนี้คือวัยของพวกเขา ความจริงใจของพวกเขา

ชีวิตต้องเข้าใจความแตกต่างของแต่ละชีวิต เราต้องเข้าใจพวกเขา ไม่เพียงว่าพวกเขาคิดอะไร แต่ทำไมจึงคิดอย่างนั้นด้วย

ในการยอมตามใจเด็กๆ หากพวกเขาขอมาสิบข้อ เราให้พวกเขาหนึ่งข้อ สองข้อก่อน แล้วค่อยๆ ให้เพิ่ม เป็นสามข้อ สี่ข้อ จนกระทั่งถึงห้าข้อ ทันใดนั้น จะเกิดความเปลี่ยนแปลง

เพราะข้อแรกๆ จะให้ยาก ด้วยฝืนความเคยชิน แต่พอค่อยๆ ให้ ก็จะเริ่มคุ้นเคย พอให้ครบห้าข้อ เด็กๆ จะเปลี่ยนไป จะกลับมาเป็นอ่อนโยน อ่อนหวาน ด้วยเพราะพวกเขารู้แล้วว่า เราคือผู้ใหญ่ใจดีและมีเมตตา ความก้าวร้าวใดล้วนไม่มีประโยชน์ ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ เป็นเพียงการถูกบีบบังคับออกมา

นานาประเทศในโลกก็จะสรรเสริญประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่คนสองรุ่นช่วยกันพัฒนาประเทศ ช่วยกันแก้ปัญหา

ที่จริงก็แค่นี้เอง

วันหนึ่งฉันเดินเล่นไปตามถนน เห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งซ้อมเต้นรำ Hip-Hop ฉันอดทึ่งไม่ได้ในความพากเพียรของพวกเขา แต่ละ movement พวกเขาต้องซ้อมเป็นพันเที่ยว ไม่มีครู ทำกันเอง แสวงหาแรงบันดาลใจจากตัวเองและเพื่อนๆ แต่ลีลาการเต้นเหล่านั้น ยิ่งหากได้ดูเวลาพวกเขาซ้อม ยิ่งตื่นตะลึง พบว่ามีทั้งพลัง และความงดงาม

ฉันยืนดูเป็นเวลานานมาก และดูเด็กเหล่านี้หลายกลุ่ม เหมือนจากห้องเรียนหนึ่งไปยังอีกห้องเรียนหนึ่ง

ฉันพบว่าพวกเขาทำงานหนักมาก ไม่น้อยกว่า หรืออาจมากกว่าคนที่เต้นรำคลาสสิค ทำไมเป็นอย่างนั้นนะ ฉันอดพิศวงไม่ได้

ไม่สำคัญหรอกว่าฉันชอบการเต้นรำแบบไหน เพราะนั่นเป็นเรื่องของรสนิยม ฉันอาจชอบรำไทยก็ได้ แต่ทว่าในขณะนี้ฉันกำลังพูดถึงสิ่งที่เป็น fact พูดถึงการทำงานหนัก การฝึกซ้อมอย่างหนัก เด็กวัยรุ่นที่ดูท่าทางเหมือนจะเกียจคร้าน คล้ายจะไม่เอาไหน กลับเป็นตรงกันข้าม และพลังของมันเล่า ก็เป็นเสียงเต้นของหัวใจสมัยใหม่

สิ่งนี้เราปฏิเสธได้หรือ

คนรุ่นเก่าที่ไม่ยอมรับ หรือเกลียดชังการเต้นรำสมัยใหม่ ก่อนอื่นเลย ต้องถามตัวเองก่อนว่า เคยไปดูพวกเขาฝึกซ้อมไหม