โจนัส แอนเดอร์สัน : 20 ปีในวงการลูกทุ่งไทย กับอีกอาชีพเพื่อความมั่นคง หลังหลายวิกฤติกระทบชีวิตคนบันเทิง

โจนัส แอนเดอร์สัน 20 ปีในวงการลูกทุ่งไทย กับอีกอาชีพเพื่อความมั่นคงในชีวิต

เกือบ 40 ปีที่โจนัส แอนเดอร์สัน (ชื่อจริง Jonas Wadenholm) หนุ่มนักร้องลูกทุ่งชาวสวีเดนเข้ามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่อายุ 9 ขวบ จนบัดนี้อายุ 48 ปีแล้ว

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหนุ่มใหญ่รายนี้รักประเทศไทยและคนไทยมากแค่ไหน

กระทั่งคุณพ่อ คุณแม่และน้องๆ ทั้ง 6 คน กลับไปอยู่สวีเดนกันหมดแล้ว แต่เขาในฐานะพี่ชายคนโตสุดก็ยังคงอยู่ กทม.

ปีนี้ครบรอบ 20 ปีที่เจ้าตัวออกอัลบั้มชุดแรก “ผมชื่อโจนัส แอนเดอร์สัน” ในปี 2543 ซึ่งยุคนั้นถือว่าดังมาก

ถือเป็นฝรั่งคนแรกที่มาเป็นนักร้องลูกทุ่งอาชีพแบบที่พูดภาษาไทยชัดถ้อยชัดคำ

และได้ออกอัลบั้มรวมทั้งหมด 8 อัลบั้ม ได้ชื่อว่า “ฝรั่งรักไทย ใจลูกทุ่ง”

ในฐานะที่อยู่ในวงการลูกทุ่งมา 20 ปี มองเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรไหม และมีส่วนกระทบหรือไม่อย่างไร

“ถ้าถามว่าอยู่ยากไหม มันก็ยากอยู่แล้ว เพราะอย่าว่าแต่ทุกปีเลย ทุกเดือนก็เกิดศิลปินใหม่ขึ้นมาได้ตลอดเวลา แน่นอนว่ามันเป็นการแชร์ตลาด ขณะที่งานบันเทิงส่วนใหญ่คนก็แสวงหาเรื่องแปลกใหม่ คนรุ่นใหม่อยากจะได้ของใหม่ๆ คนรุ่นเก่าอาจจะอยากเสพของใหม่บ้างหรือว่าผสมผสานไป มันเป็นอุปสรรคตลอดเวลาอยู่แล้ว”

“จริงๆ ถือว่าผมโชคดี ผมได้เปรียบอยู่อย่างหนึ่ง คือเป็นความฝรั่งที่ร้องเพลงลูกทุ่ง ทำให้คนมาแทนที่ค่อนข้างยากลำบาก เลยเหลือพื้นที่ที่สามารถเก็บไว้เป็นของเรา โดยที่ไม่มีใครแทนที่ได้ 100%”

“แต่นั่นก็เป็นอุปสรรคด้วยเหมือนกัน เพราะเหมือนกับเรากลายเป็นเรื่องแปลก เราก็ยังคงมีความแปลกๆ ตลอดเวลา บางครั้งรู้สึกว่า เฮ้ย! ไอ้การที่จะถูกยอมรับเป็นศิลปินไทย 100% จะเกิดขึ้นได้หรือเปล่า คือยอมรับด้วยผลงานอยู่แล้ว แล้วก็อ้าแขนรับผมตลอดเวลา ซึ่งผมซาบซึ้งตลอดเวลา”

“แต่ในบางจังหวะ ในบางมิติของอารมณ์ อาจรู้สึกคิดหนัก เอ๊ะ จะไปยังไงต่อ เพราะดนตรีมีชีวิต ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ในกรอบ อย่างที่บางคนเป็นห่วงว่าความเป็นแก่นแท้ของลูกทุ่ง ความเป็นลูกทุ่งดั้งเดิมจะหายไป”

“ขณะที่ศิลปวัฒนธรรมของดนตรีควรจะอนุรักษ์ไว้ แต่การที่จะให้สิ่งนั้นอยู่ในกรอบเดิมตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้ เพราะกาลเวลาเปลี่ยนไป ความชอบมันก็เปลี่ยนตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ควรจะอนุรักษ์ไว้อย่างสม่ำเสมอคือ เอกลักษณ์ของไทย ดนตรีสามารถเปลี่ยนไปตามความเคลื่อนไหว ตามกาลเวลา แต่ว่าเอกลักษณ์ไทยที่อยู่ในนั้นควรที่จะคงไว้ คือภาษาไทย ภาษาที่สวยงาม อย่าให้ผิดเพี้ยนมากเกินไป”

“อีกอันหนึ่งคือ ดนตรีไทย ศิลปะพื้นบ้านของไทย สิ่งเหล่านี้สามารถปรับได้ตามความเคลื่อนไหว แต่การที่จะทิ้งไปเลยแล้วเป็นสากลอย่างเดียว อันนี้ผมมองว่าน่าเป็นห่วงมาก”

เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงปลายปี 2560-2561 คนที่อยู่ในแวดวงบันเทิงก็เจอปัญหาเรื่องรายได้อยู่เหมือนกัน เพราะเป็นปีที่คนไทยต่างอาลัยกับการสวรรคตของในหลวง ร.9 ทำให้ต้องงดงานแสดงบันเทิงต่างๆ จุดนี้เองส่งผลให้นักร้องนักแสดงหลายคนต่างหาอาชีพเสริมกันเป็นแถว รวมทั้งช่วงสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ระบาดด้วย

โจนัสก็เป็นหนึ่งในนั้น อย่างที่เจ้าตัวเล่าว่า

“ความโชคดีของผม คือในตอนนั้นเป็นช่วงที่มีการพลิกชีวิต ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานด้านการสร้างสื่อออนไลน์ สร้างวิดีโอสร้างงานเขียน งานสร้างแบรนด์อะไรต่างๆ ซึ่งทำให้อยู่รอดได้ในช่วงวิกฤตทางด้านการเงิน มันเป็นจังหวะที่พอดีกันเลยที่สามารถผันตัวเองไปโฟกัสตรงนั้น เพื่อเลี้ยงตัวได้ต่อไป เพราะจริงๆ งานศิลปินเป็นงานที่ไม่แน่นอนมากๆ ถ้าไม่ได้อยู่ในวงการจะไม่ทราบ คือช่วงงานดีก็ดีไป แต่เราไม่มีความแน่นอนในด้านของการหารายได้ บางช่วงถ้าดีก็โอเค แต่ไม่ได้ดีถึงขั้นเลี้ยงตัวเองได้ 3, 4, 5 ปีจะมีข้อจำกัดอยู่”

นักร้องหนุ่มให้รายละเอียดเรื่องนี้ว่า ช่วงแรกเป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ได้ตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่เป็นของตัวเอง ชื่อบริษัท Ultimise เน้นงานโปรดักชั่นในทุกด้านของการสร้างสื่อ เน้นการทำอัตลักษณ์ของบริษัทขององค์กร และการทำแบรนด์ ซึ่งช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทำงานเหล่านี้อยู่บ้างแล้ว แต่ทำในลักษณะเป็นจ๊อบๆ มากกว่า

“ผมค้นพบตัวเองว่ามันเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างถนัด และชอบด้วย ที่สำคัญมีข้อได้เปรียบตรงที่ว่า เรามีมุมมองที่กว้าง สามารถเข้าใจอย่างลึกซึ้งในด้านของภาษาอังกฤษ ขณะที่ภาษาไทยก็สามารถเข้าถึงได้ลึกเหมือนกัน และยังได้ภาษาสวีดิชด้วย เลยกลายเป็นว่ามีจุดเด่นที่สามารถบริการได้สองฝั่งเลย ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ ที่อยากจะทำธุรกิจในไทย หรือคนในภูมิภาคนี้หรือว่าคนไทยที่อยากจะนำโปรดักต์หรือว่าโอกาสของธุรกิจไปอยู่นานาชาติ”

“ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นชาวต่างชาติที่จะมาทำอีเวนต์หรือมาโปรโมตสินค้าในเมืองไทย คือเราทำออร์แกไนซ์และสร้างแบรนด์ด้วย”

นอกจากจะตั้งบริษัท Untimise ของตัวเองแล้ว เขายังร่วมกับเพื่อนตั้งบริษัท Royal Chaya Corporation ที่ทำด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเน้นตลาดระหว่างประเทศ

อย่างที่เจ้าตัวอธิบายว่า ถ้ายึดอาชีพร้องเพลงอย่างเดียวไม่มั่นคงแน่นอน คือกรณีถ้ามีเพลงยอดฮิตขึ้นมาใหม่ก็จะทำให้รายได้เข้ามามากขึ้น

แต่ถามว่ามั่นคงไหม ก็ยังไม่ค่อยมั่นคง เพราะมีปัจจัยบางอย่างที่ไม่มีใครรู้

“อย่างเช่นถ้าต้นปีนี้ผมกำลังมีเพลงยอดฮิตอยู่ในยูทูบแล้วเจอโควิด ผมก็ไม่มั่นคงอยู่ดี เพราะว่าเงินผมหายไปหมดเหมือนกัน และอีกอย่าง มันเป็นอะไรที่กำหนดได้ยากขึ้นเรื่อยๆ หลายๆ คนเลยต้องหันมาจับอะไรที่มันทำคู่กัน อาจขายของ อาจเปิดร้าน หรืออาจช่วยธุรกิจที่บ้าน”

สรุปคือ เป็นอีกอาชีพหนึ่งของหนุ่มโจนัส แต่เจ้าตัวยืนยันว่ายังไม่ทิ้งวงการเพลงลูกทุ่งแน่นอน

“ไม่ทิ้งครับ เพราะมันคือตัวตนของผม รู้สึกว่าทิ้งไม่ลง และเราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวตนของเรา อีกอย่างคนไทยที่สนับสนุน ที่เขาติดตามมา ที่เป็นแฟนคลับแฟนเพลงเราก็ไม่อยากทิ้งเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เวลาเราทำงานตอนนี้ เราก็ทำใจว่าอาจขาดทุนหรืออาจแค่คุ้มทุน แต่คิดว่ามันไม่ได้เกี่ยวกัน แค่การสร้างรายได้อย่างเดียว มันเกี่ยวข้องกับการมอบสิ่งดีๆ ให้กับคนที่สนับสนุนมาโดยตลอด ซึ่งผมเป็นศิลปินอิสระมาสักประมาณ 3-4 ปีแล้ว”

ในโอกาสครบรอบ 20 ปีจากอัลบั้มแรกนั้น ล่าสุดเขาได้ออกซิงเกิลใหม่ชื่อเพลง “ฝรั่งคลั่งไคล้” เป็นแนวเพลงสนุกสนาน แฟนๆ หาฟังได้ในทุกแพลตฟอร์ม

กับคำถามที่ว่าวางแผนในอนาคตจะอยู่เมืองไทยตลอดไปหรือไม่

โจนัสตอบชัดถ้อยชัดคำว่า “ใช้คำว่าไม่มีแพลนจะไปไหนครับ เพราะบางครั้งบางเรื่องบางราวมันเป็นปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถที่จะกำหนดมันได้ วันหนึ่งเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิด เราก็ไม่อยากไปคิด แต่ก็อดคิดไม่ได้ในบางเรื่องใช่ไหมครับ เช่น ถ้าชราลงไปตราบใดที่เราไม่ใช่คนไทย ก็จะไม่ได้มีสิทธิของคนไทย ถ้ามีสักเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ไม่คาดการณ์ไว้ อาจมีบางเรื่องบางราวที่บังคับให้เรากลับไปอยู่สวีเดน แต่ถ้าให้ผมวางแผน ผมไม่วางแผนแบบนั้นหรอก”

คนเป็นแฟนคลับของนักร้องฝรั่งคนนี้คงอยากรู้ว่า มีเจ้าของหัวใจหรือยัง

เรื่องนี้โจนัสตอบแบบให้คนฟังคาดเดากันเองว่า “ด้วยความเป็นศิลปิน เราค่อนข้างไม่ค่อยมีมุมของเรา ทุกอย่างสามารถที่จะเปิดค่อนข้างครบถ้วน เราไปไหนมาไหนก็มีคนจำได้ มีคนอยากถ่ายรูป จะไปปฏิเสธก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะเขาอุตส่าห์สนับสนุนเรา แต่ในตัวเราเองก็เหมือนต้องการความเป็นส่วนตัว ในส่วนนี้ผมขอเป็นพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ ของผมอีกสักหนึ่งพื้นที่ก่อนได้ไหม เรื่องอื่นผมเปิดหมดเลยครับ”

เป็นนักร้องฝรั่งที่ยังคงมีผลงานให้แฟนๆ ได้ติดตามกันตลอด และ 20 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นฝรั่งที่คลั่งไคล้เมืองไทยจริงๆ