คุยการเมืองกับ “จ๋าย ไททศมิตร” “หมดเวลายื้อแล้ว ยิ่งยื้อยิ่งแย่”

“ผมว่าผู้ใหญ่ควรจะต้องตื่นรู้ได้แล้ว ในสิ่งที่เด็กบอกว่าเวลาอยู่ข้างเขา มันคือเรื่องจริงนะ แล้วต่อไปประเทศนี้ ก็ต้องถูกพัฒนาโดยคนรุ่นใหม่อยู่ดี”

“อิชณน์กร พึ่งเกียรติรัศมี” หรือ “จ๋าย” นักร้องนำวง “ไททศมิตร” (TaitosmitH) คือหนึ่งในศิลปินนักร้องร่วมสมัยที่ออกมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่อยู่เสมอ และกล้าพูดคุยเรื่องการเมืองอย่างเต็มปาก

“จ๋าย” เล่าว่า ตนเองเริ่มสนใจเรื่องการเมืองตั้งแต่ตอนเรียนมหาวิทยาลัย

และเริ่มมาสนใจอย่างจริงจังมากขึ้นในช่วงเริ่มก่อตั้งวง “ไททศมิตร” เนื่องจากวงดนตรีวงนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือสังคม เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น จึงเริ่มศึกษาและพบว่าต้นตอของปัญหาทั้งหมดในสังคมนั้นหนีการเมืองไปไม่ได้

“การเมืองมันยึดโยงกับทุกคน ทุกอาชีพ ส่วนของศิลปินก็เหมือนกัน ผมมีโอกาสเป็นตั้งแต่ศิลปินอินดี้ จนถึงขึ้นมาเป็นศิลปินเมนสตรีม (กระแสหลัก) โครงสร้างของอุตสาหกรรมดนตรี ผมว่ามันไม่เอื้อต่อศิลปินขนาดนั้น ไม่ว่าจะเรื่องเพลง ลิขสิทธิ์เพลง แม้พื้นที่มันเยอะขึ้นก็จริง แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ได้ถูกสนับสนุนโดยภาครัฐอยู่ดี”

ศิลปินผู้นี้เห็นว่าปัญหาต่างๆ ในสังคม เป็นผลมาจากการถูกกดทับมาอย่างยาวนานทุกยุคทุกสมัย รวมไปถึงการถูกปลูกฝังความคิดต่างๆ จากครู อาจารย์ และสถาบันการศึกษา ที่ส่งผลต่อความเชื่อของเด็ก

“ไม่ว่าจะเป็นยุคพี่หรือยุคผม เราเจอกันมาตลอด ทั้งค่าแป๊ะเจี๊ยะ ทั้งระบบการศึกษาที่มันห่วยแตก เราเจอกันมาตลอดเลย มันไม่ใช่แค่ระบบการศึกษา พื้นฐานความเชื่อของบุคลากร ขององค์กร ของครู ไม่ใช่แค่ความรู้อย่างเดียวนะ มันเป็นความเชื่อ วัฒนธรรมต่างๆ ที่ครูปลูกฝังเด็ก”

“เด็กเชื่อว่าต้องเชื่ออย่างนั้น มันเป็นมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ผมเพิ่งมาเข้าใจตอนโตเองว่า อ๋อ ข้อมูลหรือแม้แต่ข่าวในหนังสือพิมพ์ต้องกรองก่อนนะค่อยเชื่อ ผมเข้าใจมาตลอดว่าอย่างนั้นมันก็ต้องเชื่อเลย”

“จ๋าย” เล่าประสบการณ์ชีวิตที่เคยพบกับความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งหลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่ควรรู้สึกอย่างนั้น

โดยยกตัวอย่าง ขณะที่ตนเองทำกิจกรรมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่ง “จ๋าย” และกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ได้ร่วมกันทำโครงการชื่อว่า “เสื้อดำทำดี” เพื่อเดินทางไปบริจาคสิ่งของ สร้างห้องสมุด ให้กับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล

นั่นทำให้ได้พบเห็นกับปัญหาเรื่องสวัสดิการขั้นพื้นฐานทางการศึกษาที่แตกต่างกัน เช่น ความยากลำบากของถนนหนทางที่เด็กๆ ต้องใช้ไปโรงเรียน และบางโรงเรียนก็มีคุณครูประจำเพียงแค่คนเดียว

“ผมไปวาดรูปฉลาม เด็กบอกปลาช่อน เขาไม่รู้จักฉลาม เขาไม่รู้จักโลมา เขาไม่รู้จักวาฬ แล้วเด็กพวกนั้นเขาผิดอะไร เขาโตมาเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่สวัสดิการขั้นพื้นฐานเขาได้ไม่เหมือนกัน

“ครูเขามีคนเดียวทั้งโรงเรียน ถนนหนทางยังไปไม่ถึง การที่เขาจะเดินออกมาเรียนให้ได้พื้นฐานเท่ากับเด็กคนอื่นก็ไม่ได้อีก สวัสดิการมันไปไม่ถึง

“ผมว่าแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติไม่ได้ มันเป็นงานของภาครัฐ ที่ภาครัฐจะต้องมาดูแลตรงนี้ นี่เป็นคำพูดจากนายคนหนึ่งเลยนะเนี่ย ที่เสียภาษีเหมือนกัน ทุกคนเริ่มคิดแบบนั้นแล้ว มันต้องถูกกระจายไป ไม่ใช่แบบไปจุกที่ไหนสักที่หนึ่ง”

ส่วนการออกมาเรียกร้องทางการเมืองของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน “จ๋าย” เห็นว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์และคาดไม่ถึงว่าเด็กจะตื่นรู้ได้เร็วขนาดนี้ และเห็นว่าจุดเปลี่ยนสำคัญนั้นเกิดจากเทคโนโลยี ซึ่งช่วยให้ทุกคนสามารถศึกษาค้นคว้าทุกอย่างผ่านโทรศัพท์มือถือหรืออินเตอร์เน็ต

ความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นส่งผลให้เด็กรุ่นใหม่เกิดการพูดคุย ถกเถียง ตั้งคำถาม สังคมแวดล้อมไปด้วยการศึกษา ทำให้ทุกอย่างเกิดการพัฒนา กระทั่งไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็จะถูกตั้งคำถามและตรวจสอบทั้งหมด

“ผมไม่ได้ด่ารัฐบาล คสช.อย่างเดียวนะ ไม่ได้ด่าว่าเป็นความผิดของเขา จริงๆ ถ้ามันเกิดเร็วกว่านี้ ทุกรัฐบาลที่ผ่านๆ มาโดนหมด ถูกไหม เพราะว่าโครงสร้างมันพังไปหมดทุกอย่าง

“ประชาชนควรมีส่วนในการจับตาดูการทำงานของภาครัฐ ไม่ใช่แค่รัฐบาล แต่รวมถึงคณะรัฐมนตรี กระทรวงต่างๆ เขาทำงานกันอย่างไร เราเคยสนใจหรือเปล่า แล้วมันเชื่อมโยงกับชีวิตเราหรืออาชีพเราอย่างไรบ้าง”

ขณะที่จุดเริ่มต้นของการไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุม “จ๋าย” เล่าว่า ตนเองไปเข้าร่วมครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อไปถึงก็รู้สึกตกใจมาก เพราะว่าปรับตัวไม่ทัน เนื่องจากเด็กๆ เขาได้แซงหน้าเราไปแล้ว ในสิ่งที่เขาพูดกัน หรือสิ่งที่เขาออกมาเรียกร้องกันอยู่

จากนั้นจึงเข้าร่วมสังเกตการณ์อีกหลายครั้งในการชุมนุมครั้งต่อๆ มา อย่างไรก็ตาม “จาย” เริ่มรู้สึกหวาดวิตกแทนน้องๆ เยาวชน เมื่อมาตรการควบคุม-จัดการม็อบของฝ่ายรัฐดูจะมีแนวโน้มของการใช้ไม้แข็งมากขึ้น

“สิ่งที่เราเห็น เขาเป็นเด็ก มันสะเทือนใจผมตรงนี้ เขาเป็นเด็ก เรายังทันชุมนุมเสื้อแดง เราใกล้กับเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภาทมิฬ มากกว่าเด็กๆ เรารู้ว่าในประวัติศาสตร์ รัฐเคยใช้ความรุนแรงไปถึงขนาดไหน เพดานของความรุนแรงมันถึงขนาดไหน มันเลยทำให้เราเกิดความกลัวมากกว่าเขา

“แต่พอเขาห่างมาก นัยน์ตาเขาคือนักคิดนักฝัน เขาคาดไม่ถึงหรอก แม้แต่วันที่ฉีดน้ำ ทุกคนช็อกหมด เด็กๆ แบบร้องไห้ เขาไม่คิดว่ารัฐจะกล้าทำอย่างนี้กับเขา”

ถึงกระนั้น นักร้องนำวง “ไททศมิตร” ก็ยังขอส่งกำลังใจและความปรารถนาดีไปถึงนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ที่ออกมาต่อสู้บนท้องถนนทุกคน

“อยากบอกทุกคนในตอนนี้ให้ตั้งสติให้ดี เพราะว่าเส้นทางที่เราต่อสู้มันเป็นเส้นทางที่ยาว และมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องตั้งสติให้มั่น อย่าไปหลงกลการยุยงปลุกปั่นใดๆ ทั้งสิ้น

“(แต่ให้) มั่นคง สู้ในวิถีของเรา ที่เรายึดมั่นคือสันติวิธี อย่างที่บอกว่า เชื่อว่าเวลาอยู่ข้างเราจริงๆ เราต้องเข้มแข็งและผลักดันแนวทางของเราไปให้ได้มั่นคงที่สุด และไกลที่สุด เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน”

นอกจากนี้ “จ๋าย” ยังฝากข้อความถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมืองให้ตื่นรู้ได้แล้วว่า สิ่งที่เด็กๆ บอกว่าเวลาอยู่ข้างพวกเขานั้นคือเรื่องจริง เพราะในอนาคต ประเทศไทยต้องถูกพัฒนาโดยคนรุ่นใหม่อยู่ดี

แม้ส่วนตัวจะเข้าใจว่าผู้ใหญ่หลายคนกำลังเหน็ดเหนื่อยในการพยายามยื้อยุดอย่างสุดฤทธิ์ เพื่อทำให้สิ่งที่พวกตนคิดว่าถูกต้องและดีงามสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้

แต่ก็อยากให้ผู้ใหญ่ตระหนักถึงระบบที่มีปัญหาในสังคม ซึ่งสะท้อนผ่านการออกมาชุมนุมของผู้คนจำนวนเยอะแยะมากมาย

สำหรับนักร้องผู้นี้ วิธีการแก้ไขความขัดแย้งของประเทศควรเริ่มต้นจากการพูดคุย ซึ่งทุกฝ่ายต้องนำข้อมูลทั้งหมดมากางออก แล้วพิจารณาร่วมกันว่าปัญหาคืออะไรบ้าง

เช่น ข้อเรียกร้อง 3 ข้อที่เด็กๆ เรียกร้อง ก็ควรมีผู้ใหญ่เข้ามาคุยกับพวกเขา ว่าปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นเพราะอะไร ทว่าสิ่งที่เห็นกันตอนนี้คือยังไม่มีผู้ใหญ่คนไหนมาเปิดอกสนทนากับเยาวชนในประเด็นดังกล่าว

“คือเด็กๆ ฉลาด ถ้าจะมาหลอก หลอกไม่ได้หรอก ผมว่าต้องคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้แล้ว ก็คือหมดเวลายื้อแล้ว ยิ่งยื้อยิ่งแย่”

นี่คือคำเตือนของ “จ๋าย ไททศมิตร”