มาดามหลูหลี / Moorim School : เรียนเล่นๆ ที่โรงเรียนมูริม

มาดามหลูหลี[email protected]

เพราะถูกใจนางเอกซอเยจีจาก “It”s Okay to Not Be Okay” จึงตามมาดูซีรี่ส์เรื่อง Moorim School ซีรี่ส์เกาหลีปี 2016 โดยผู้กำกับฯ อีโซยอนร่วมกับนักเขียนคิมฮยอนฮี ซึ่งทีแรกวางไว้ 20 ตอน ถูกลดเหลือ 16 ตอนเพราะเรตติ้งไม่ดี ทั้งๆ ที่เนื้อเรื่องดีมาก

อาจเพราะเรื่องลึกลับไม่พอ หรือดราม่าน้อยเกินไป

มีดารารุ่นใหญ่ชินฮยอนจุนร่วมแสดงด้วย รับบทเป็นฮวางมูซง คณบดีของโรงเรียนมูริม

โรงเรียนตั้งอยู่กลางป่าท่ามกลางธรรมชาติงดงาม

และคนทั่วไปใช่ว่าจะเดินเข้ามาง่ายๆ

เพราะมีม่านพลังปกคลุมบดบังโรงเรียนไว้ ป้องกันคนที่ไม่ประสงค์ดีเข้ามา

 

โรงเรียนมูริมดูคล้ายโรงเรียนฮอกวอตส์ใน Harry Potter นักเรียนต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีคิงส์ครอส (King”s Cross) ตรงชานชาลาที่ 9 3/4 แล้วเข็นกระเป๋าสัมภาระหายไปตรงจุดนั้น

ส่วนที่โรงเรียนมูริม นักเรียนซึ่งถูกเลือกเท่านั้นจึงจะผ่านม่านพลังได้ มีนักเรียนจากประเทศต่างๆ มาเรียน รวมทั้งณเดชน์ (POP) ที่มาจากเมืองไทย

ฮวางมูซงตั้งโรงเรียนมูริมขึ้นมา เพื่อเป็นที่ฝึกฝนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ได้มีวิชาด้านการป้องกันตัว เน้นการออกกำลังกาย เพื่อความแข็งแกร่งอดทนมากกว่าผลคะแนน

สอนให้ยืนหยัดมีวิชาความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตและปรับตัวอยู่ในสังคมได้

หรืออาจตั้งโรงเรียนมูริมเพื่อหลบภัยร้ายจากกลุ่ม “จ๊อกพุง” ที่หมายจ้องเอา “ชูนูอิจู” กุญแจวิเศษที่แยกชิ้นส่วนเป็นวัตถุ 3 ชิ้น เมื่อประกอบกันจะเป็นกุญแจซึ่งมีพลังมหาศาลสามารถสร้างอำนาจให้ผู้ครอบครองและเป็นอมตะได้

ม่านพลังของโรงเรียนมูริมอาจเป็นการสร้างป้อมปราการให้ฮวางซอนอา (จองยูจีน) ลูกสาวของเพื่อนฮวางมูซง เด็กหญิงซึ่งเขาช่วยชีวิตจากกองเพลิงเมื่อ 18 ปีก่อน โรงเรียนนี้จะปกป้องเธอจากภัยอันตรายรอบตัวกับคนปองร้าย

โรงเรียนมูริมจะทำให้ซอนอาได้มีเพื่อนๆ และมีชีวิตเช่นคนทั่วไป โดยไม่ต้องออกสู่โลกภายนอก

 

ฮวางซอนอาจึงได้ชิมซุนด๊อก (ซอเยจี) เด็กสาวที่มีพ่อตาบอด, ยุนชีอู (อีฮยอนอู) นักร้องดัง และหวังชีอาง (ฮงบิน) ลูกชายหวังเฮา (อีบอมซู มารับบทร้ายแสดงเป็นนักธุรกิจจีนได้เหมาะมาก ทรงผมเหมือนอาตี๋จีน) ประธานเซี่ยงไฮ้กรุ๊ป เข้ามาเรียนเป็นเพื่อน และเพื่อนนักเรียนอีกหลากหลายมาจากที่ต่างๆ

ชิมซุนด๊อกมาเรียนที่โรงเรียนมูริมเพราะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ทั้งเธอยังต้องทำงานส่งไก่ทอดเพื่อหาเงินดูแลพ่อที่ตาบอด เป็นนักเรียนที่ขยัน อดทนและมีความกล้าเผชิญหน้ากับทุกอย่าง

ยุนชีอูได้รับการแนะนำจากฮวางซอนอาที่เป็นแฟนคลับของเขา เพราะเขามีปัญหาเรื่องการได้ยิน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่ออาชีพนักร้อง อีกทั้งการเข้ามาที่โรงเรียนมูริมเท่ากับได้หลบพักจากข่าวไม่ดีชั่วคราว

หวังชีอางทายาทเศรษฐี แม้จะเป็นลูกเมียน้อยก็ยังเอาแต่ใจตัวเอง ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย มีนิสัยไม่สนใจมนุษย์ พ่ออยากดัดนิสัยจึงส่งมาเรียนที่มูริม

หวังเฮาพ่อหวังชีอาง เศรษฐีจากประเทศจีนและเป็นผู้อุปถัมภ์สนับสนุนด้านการเงินแก่โรงเรียนมูริม ซึ่งดูน่าจะเป็นคนดีมีเมตตา แต่เอาเข้าจริงก็มีเบื้องหลังที่แฝงผลประโยชน์ จึงส่งลูกชายเข้ามา

หวังชีอางมักเกลียดพ่อที่ไม่เคยแสดงความรักความห่วงใยกับแม่และตัวเขาเอง แต่ทั้งเขาและพ่อกลับมีนิสัยเหมือนกัน ต้องการเอาชนะต้องการครอบครองสิ่งที่มุ่งหมาย

ยุนชีอูและหวังชีอาง ต่างมีสิ่งที่เหมือนกันคือ ไม่มีเพื่อน การเข้าเรียนที่โรงเรียนมูริม โดยต้องมีการทดสอบแข่งขันของทั้งคู่ ได้เปลี่ยนการแข่งขันเป็นการช่วยเหลือร่วมมือกันเพื่อเอาชีวิตรอด!

 

ยุนชีอูที่คิดว่าจะหนีไปจากโรงเรียนมูริม กลับเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่คณบดีฮวางมูซงบอกใบ้ ทั้งยังสร้างเส้นทางสายมิตรภาพซึ่งยินดียินยอมช่วยเหลือเพื่อนๆ เสมอ

คณบดีฮวางมูซงคิดวิธีการสอบวัดผลอย่างมีกลยุทธ์ เพราะเขามุ่งหวังให้นักเรียนของโรงเรียนมูริมรักสามัคคีกัน ช่วยเหลือจับมือกันไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่ต่างคนต่างวิ่งกันคนละทาง

และเมื่อฮวางมูซงตัดสินใจเปิดม่านพลังที่ปกคลุมโรงเรียนมูริมไว้ กลับกลายเป็นว่าได้เปิดหน้าฉีกหน้ากากคนรอบตัว ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงกับผลประโยชน์อันซ่อนอยู่เบื้องหลังใบหน้านักบุญ! และคนที่ยินดีจะอยู่เคียงข้างร่วมฟันฝ่า

ชอบคุณครูทั้งสี่คือครูคิมแดโฮ (จองฮีแท), ครูยูดี (กันมียอน), ครูแดเนียล (Daniel Lindemann) และครูแซม (Samue Okyere) ที่คอยดูแลเด็กๆ มีบทพูดคุยกุ๊กกิ๊กกัน ดูน่ารัก ซึ่งช่วยเติมเต็มให้เรื่องเดินต่อ

 

Moorim School ซีรี่ส์ที่วางเส้นเรื่องดี แต่อาจเล่าเรื่องความลึกลับหรือสิ่งมหัศจรรย์ไม่มากพอ ว่าความเป็นมาของโรงเรียนมูริมคืออะไร มีความลับอะไรซ่อนเร้นอยู่

เรียนๆ เล่นๆ เรียนอย่างสนุกที่โรงเรียนมูริม ไม่ต้องไปเรียนกวดวิชา

นักแสดงวัยรุ่นทั้งอีฮยอนอูและฮงบินแสดงได้สมบทบาท จองยูจีนเรื่องนี้ดูดีกว่าหลายเรื่องที่ผ่านมา

ส่วนซอเยจีดาราคนโปรดน่ารักมากกับผมเปียถักยาวละเอียดและท่าทางกล้าหาญไม่กลัวอะไร

ในการแข่งขัน บางครั้งคนที่ชนะและได้ครอบครอง กลับรู้สึกว่างเปล่าไม่รู้สึกภูมิใจ ได้ชัยชนะมาอย่างว่างเปล่าราวกับเป็นผู้แพ้ หรือว่าการครอบครองมันดีจริงๆ หรือ?