วังเวงและว้าวุ่นใจ

เคราะห์ร้ายกระโจนเข้าใส่ผม 2 ทางแทบจะพร้อมกันกลางดึกวันศุกร์ที่ 13 และวันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2563

ตื่นเช้าวันศุกร์พบข้อความในไลน์จากญาติแจ้งว่า ลูกผู้พี่ (หลานพ่อ) ของผมคนหนึ่งเสียชีวิต เมื่อเวลา 02.45 น. โดยไม่มีรายละเอียดอื่น เข้าใจว่าน้องคนที่ส่งข้อความมายังไม่มีข้อมูลอะไรมากกว่านี้ จนสายใกล้เที่ยงจึงได้รับไลน์อีกสายหนึ่งแจ้งรายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีพิธีรดน้ำศพในเวลา 16.00 น. ของวันเสาร์ รวมทั้งกำหนดวันและเวลาสวดอภิธรรมศพและฌาปนกิจ

ในขณะที่กำลังรอรดน้ำศพลูกผู้พี่อยู่ในศาลาวัดที่ตั้งศพก็มีเสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาจนผมต้องปิดมือถือหลังจากเห็นแล้วว่าเป็นโทรศัพท์มาจากน้องอีกคนหนึ่ง (หลานของแม่) ก็ไม่สังหรณ์ใจว่าจะมีข่าวร้าย จนรดน้ำศพพี่เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงออกจากศาลาแล้วโทรศัพท์กลับ

ข่าวที่ไม่คาดคิดก็คือ ลูกผู้น้อง (หลานแม่) เสียชีวิตเมื่อตอนเช้าตรู่ และจะมีพิธีรดน้ำศพเวลา 16.00 น.เช่นกัน!

เกรงว่าน้องคนที่โทร.ส่งข่าวจะเสียใจที่ปิดเครื่องวางหูในครั้งแรก ได้ชี้แจงไปว่ากำลังอยู่ในศาลาวัดรอรดน้ำศพพี่อยู่ไม่กล้ารับสาย

พี่และน้องที่เสียชีวิตไล่เลี่ยกันจนต้องรดน้ำศพพร้อมกันนี้ แม้จะเป็นญาติผมทั้งคู่ แต่พวกเขาต่างไม่เคยรู้จักกันและวิถีชีวิตก็ต่างกันมาก

จากนั้นผมก็กลับเข้าไปนั่งปลงอยู่ในศาลาตามเดิม ตามวิสัยของคนไทยที่ผูกพันโยงใยกับญาติพี่น้องใกล้ชิด

ลูกผู้พี่เป็นหลานพ่อที่เกิดจากน้องสาวของพ่อ น้องเขยของพ่อรับราชการกองตรวจคนเข้าเมืองซึ่งต้องโยกย้ายไปยังจังหวัดต่างๆ ตามยศและตำแหน่งอยู่เสมอ พี่จึงมาอยู่บ้านของเราในระยะเวลาของการเรียนชั้นประถม พี่อายุมากกว่าผม 5 ปี แต่เราก็สนิทสนมกันตามประสาพี่น้อง

ผมจำได้ว่าตอนที่ผมยังเป็นเด็กเล็กๆ ขณะที่ครอบครัวของเรา “หนีญี่ปุ่น” ไปอยู่ในสวนยาง ตำบลควนลัง อำเภอหาดใหญ่นั้น เย็นวันหนึ่งมีคนมาส่งข่าวปลอมว่า ญี่ปุ่นทิ้งบอมบ์ที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา และพี่ชายของผมคนนี้ก็ถูกลูกบอมบ์ถึงแก่ความตายด้วย ผมจำได้ว่าช่วงเวลาที่เขาเล่าข่าวปลอมเรื่องนี้ เราและชาวควนลังอยู่ที่ลานทรายสีขาวใต้ต้นมะพร้าวกลางสวนยาง

กว่าผมจะรู้ว่าเป็น “เฟกนิวส์” ก็ร้องไห้แทบหมดน้ำตา จนมาถึงเวลานี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าอะไรจูงใจให้เขาสร้างข่าวปลอมที่ไม่เข้าท่าขึ้นมา

“ภาพจำ” ของพี่ที่ยังติดตรึงอยู่ในใจผมก็คือ ภาพที่พี่แต่งเครื่องแบบนักเรียนเตรียมนายเรือมาที่บ้าน สมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนเตรียมทหาร นักเรียนนายร้อย-นายเรือ ต่างมีโรงเรียนเตรียมของตัวเอง แน่นอนว่าเครื่องแบบนักเรียนเตรียมนายเรือเท่ที่สุด…กางเกงขาสั้นและถุงเท้ายาวพร้อมกับหมวกนายทหารเรือที่เป็นสากล (ของทหารเรือทั่วโลก)

แต่พี่เรียนไม่จบ ถูกออกพร้อมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งฐานเมาแล้วต่อยแท็กซี่ตอนอยู่ปี 5

ผมเสียใจและเสียดาย แต่ไม่แน่ใจว่าพี่รู้สึกอย่างไร นักเรียนนายเรือพรรคกลิน เทียบเท่ากับปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์หางานไม่ยาก พี่ใช้ชีวิตอย่างเพลย์บอย ตื่นเต้นและผจญภัย เดินเรือไปทั่วโลก จนเกษียณอายุแล้วก็ยังเดินเรือท่องเที่ยวอยู่แถวอันดามัน

เจอครั้งสุดท้ายในงานแต่งงานหลาน พี่อายุ 87 ปี แต่ยังหล่อและเท่เหมือนเดิม ผมถามพี่ว่าไม่ต้องไปหาหมอบ้างหรือ พี่ตอบกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีว่า “หมอให้ไปตรวจ 9 เดือนครั้ง”

ผมเองหมอให้ไปตรวจ 4 เดือนครั้ง ต้องเจาะเลือดและรับยา 6 ขนานทุกครั้ง

ลูกผู้น้องที่เสียชีวิตเป็นลูกชายของน้องสาวแม่ อายุอ่อนกว่าผม 10 ปี น้องสร้าง “ภาพจำ” ให้ผมมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กทารก ครั้งนั้นน้าพาเขามานอนหลับในมุ้งที่บ้าน ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นว่าเขาเป็นน้องชายคนแรก ผมเฝ้ารอการตื่นของน้องอยู่ข้างมุ้ง

ภาพจำก็คือ น้องตื่นขึ้นนั่งแล้วงวยงงเพราะแปลกที่ อาการเลิ่กลั่กโดยไม่ร้องไห้ของเด็กหน้าตาดีเป็นภาพที่น่ารักมาก

ชีวิตของน้องราบเรียบในทางบวกมาโดยตลอด เมื่อเอ็นทรานซ์ติดคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ น้องก็มาอยู่กับผมที่บ้านพักตำรวจหลังกองปราบปราม สามยอด ระหว่างที่เป็นนิสิตเกษตรน้องเป็นนักฟุตบอลทีมมหาวิทยาลัย

น้องรับราชการเป็นนักวิจัย อยู่ศูนย์วิจัยการยางหลายแห่งแทบจะทุกภาคของประเทศ จนกระทั่งเกษียณอายุ ในศาลาที่ตั้งศพจึงละลานตาไปด้วยมาลัยไว้ทุกข์จากศูนย์วิจัยการยาง ได้ทราบจากพี่สาวของเขาว่า เขาเป็นนักวิชาการที่ตระเวนไปบรรยายตามศูนย์ต่างๆ ทั่วประเทศ

ไม่น่าเชื่อว่าคนหน้าตาดี รูปร่างอย่างนักกีฬา ประสบความสำเร็จจากหน้าที่การงาน แต่ไม่มีครอบครัว ใช้เวลาที่เหลือคอยดูแลทุกข์สุขของพี่น้องและหลาน มีความสุขกับการปลูกต้นไม้รอบบ้านที่เชิงเขาแห่งหนึ่งของจังหวัดสงขลา

เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนหน้านี้ ผมเดินทางไปสงขลา ไปนอนที่บ้านเชิงเขา คุยกับน้องจนถึงตีสอง

ผมได้ทราบจากน้องสาวคนเล็กสุดของเขาว่า “ลุง” นักวิจัยคนนี้ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สิน รวมทั้งเงินบำเหน็จบำนาญและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของการเป็นข้าราชการให้หลานตัวน้อยเรียบร้อยแล้ว

ได้ทราบจากน้องๆ ในงานศพว่า ก่อนวันที่น้องเสียชีวิต ได้ไปตรวจตามแพทย์นัดที่โรงพยาบาลศิริราช ปรากฏผลเลือดดีขึ้นจนเจ้าตัวดีใจ แต่ตอนเช้าไม่ตื่นมากินกาแฟอย่างที่เคย พี่สาวคนหนึ่งจึงไปเรียกและพบว่าน้องหยุดหายใจไปแล้ว

นอกจากผมจะเสียใจในการจากไปของน้องแล้ว ผมยัง “ใจเสีย” อีกด้วย เพราะน้องกับผมทำบายพาสเส้นเลือดหัวใจ 3 เส้นในเวลาใกล้เคียงกันเมื่อ 11 หรือ 12 ปีก่อน

วัดอันเป็นสถานที่ฌาปนกิจลูกผู้พี่กับลูกผู้น้องของผมอยู่คนละฟากของกรุงเทพฯ ของพี่อยู่ที่วัดชลประทานฯ นนทบุรี ของน้องอยู่ที่วัดนวลจันทร์ คันนายาว จากบ้านผมเดินทางไปทั้งสองแห่งไม่ผ่าน “พื้นที่ชุมนุม” ของขบวนการราษฎรที่กำลังชุกชุมจนใกล้จะเป็นจลาจล

ถึงกระนั้นก็ทรมานใจอย่างสาหัสด้วยการจราจรที่ติดขัดจาก “สารพัดการก่อสร้าง” ราวกับอยู่ใน “เมืองที่ยังสร้างไม่เสร็จ” ที่ผมเขียนเมื่อหลายปีก่อน

บุตรสาวที่ขับรถพาผมไปวัดทั้งสองแห่งทราบดีว่าเกือบทุกพื้นที่ที่ผ่านไปนั้น บ้างก็เป็นท้องที่ที่ผมเคยอยู่หรือเคยรับราชการ หรือเคยขับรถผ่านมาก่อน เมื่อผมแสดงความสงสัยว่าเป็นที่ไหน ลูกก็จะตอบทันทีว่า “พ่อไม่รู้จักหรอก อย่าเดาให้ปวดหัว มันสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งนั้นแหละ”

ขาไปเดินทางในเวลากลางวัน เราก็จะหม่นหมองที่เห็นร้านค้ากลายเป็น “ร้านร้าง” ขากลับหลายแห่งเหลือแต่แสงสลัวให้ความรู้สึกวังเวง

กลับถึงบ้านเปิดทีวีเห็นภาพการชุมนุมของราษฎรกับภาพตำรวจฉีดน้ำแล้วว้าวุ่นใจ

ต่อจากนั้นก็มีข่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความภาคภูมิใจที่ได้รับการยกย่องว่ารับมือโควิด-19 ได้ดี และสามารถฟื้นกลับเป็นปกติได้เป็นอันดับ 1 โดยไม่แยแสการชุมนุมเลย!

เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์พึงพอใจกับสภาวะวิกฤตที่ประชาชนรู้สึกหม่นหมอง วังเวงและว้าวุ่นใจ เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องลาออก!