ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : “ผมยาว” กับ “ตัวเหา” การเมืองเรื่องทรงผม ของนักเรียนไทย

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ดร.วีระ แข็งกสิการ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้เข้าร่วมสนทนาในรายการ “ถามตรงๆ กับจอมขวัญ” ทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา

ในช่วงหนึ่งของรายการในวันนั้น “ท่าน ดร.รองปลัด” ได้ตอบคำถามถึงเหตุผลที่มติที่ประชุมกระทรวงศึกษาธิการมีข้อสรุปว่า เรื่องทรงผมนักเรียนจะตัดสั้นหรือยาวได้ให้ขึ้นอยู่กับ (แต่ละ) โรงเรียนโดยผ่านประชาพิจารณ์ของนักเรียน ครู ผู้ปกครองของ (แต่ละ) โรงเรียน ว่าทำไมจึงยังต้องมีการลงมติดังกล่าวอีกทั้งๆ ที่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดเอาไว้แล้วว่า “บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพในร่างกาย” เอาไว้ว่า

“สมมุติถ้าน้องไว้ผมยาวสักศอกหนึ่ง คนที่เดือดร้อนคือพ่อ-แม่ ต้องซื้อยาสระผมมาสระให้นักเรียน เวลาในห้องเรียนผมเราที่ยาวเป็นศอกก็บังเพื่อนข้างหลัง นี่คือความรู้สึกของคนอื่น…แล้วทรงผมที่มันยาวของเด็กในชนบท บ้านนอก ที่เขาไม่มีเงินไปสระผม ไดร์ผม เขาก็จะมี “ตัวเหา” “ตัวเห็บ” ที่มาติด แล้วมันก็มาติดเพื่อน กลายเป็นการระบาดของโรค ถือว่าการระบาดของโรคที่มันเกิดจากเหาจากเห็บเนี่ย มันก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน”

ฟังแล้วก็ได้แต่นึกย้อนไปถึงความเชื่อเก่าแก่ที่ว่า ทรงผมของนักเรียน ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ตามแบบมาตรฐานในใจของคอนเซอร์เวทีฟไทย ทั้งการที่เด็กนักเรียนชายไทยเต็มขั้นนั้นต้องไถผมจนเลี่ยน เตียน และโล่ง และนักเรียนหญิงต้องตัดผมสั้นเสมอติ่งนั้น เป็นนวัตกรรมที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม เท่านั้นนะครับ

แต่กลับไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเลยว่า จอมพลที่ชื่อแปลกท่านนี้เป็นผู้ให้กำเนิดทรงผมทรมานใจนักเรียน แถมยังไม่เคยมีหลักฐานที่แสดงให้รู้ถึงเหตุผลอย่างชัดเจนเลยสักครั้งว่า ทำไมจอมพล ป.จึงต้องให้นักเรียนตัดผมทรงอย่างนี้ด้วย?

บางเหตุผลระบุว่า เป็นเพราะเหาระบาดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านผู้นำอย่างจอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็เลยไม่อยากให้เหาไประบาดในโรงเรียนของเด็กๆ

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตอนนี้ก็ไม่ได้มีวิกฤตการณ์เหาระบาดเมือง แถมเรื่องมันก็ผ่านมาเนิ่นนานระดับที่ผ่านมา 80 ปีเศษเข้าไปแล้ว จากทรงผมที่ตัดเพื่อบรรเทาวิกฤตเหาระบาด ทำไมถึงได้กลายมาเป็นระเบียบศักดิ์สิทธิ์อันแตะต้องมิได้มันเสียอย่างนั้น?

 

คําอธิบายที่น่าสนใจยิ่งกว่าจึงมาจากการที่ท่านผู้นำแปลกคนดีและคนเดิม ไปเอาทรงผมเกรียนนี่มาพร้อมๆ กับเครื่องแบบของทหารญี่ปุ่น แล้วจับยัดให้เป็นเครื่องแบบนักเรียนของไทย เพื่อกล่อมเกลาให้เด็กๆ มีจิตใจแบบทหาร

แน่นอนว่าท่านผู้นำก็เป็นทหารนะครับ แถมยังเป็นทหารยศสูงระดับ “จอมพล” ที่กุมอำนาจทั้งกองทัพเอาไว้ใต้รองเท้าบู๊ตของท่าน ซ้ำร้ายในยุคสมัยนั้นยังเป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กับสงครามโลกครั้งที่ 2

กลิ่นตุๆ ที่กำลังเริ่มคุกรุ่นขึ้นมาของสงครามโลกครั้งที่ 2 (ซึ่งเริ่มเมื่อ พ.ศ.2482) นี่แหละทำให้รัฐสยาม (ที่จะต่อเนื่องมาเป็นประเทศไทยในสมัยจอมพล ป.) เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม

ดังปรากฏข้อความในระเบียบทหารบก ที่ 1/7742 ดังนี้

“ด้วยทางราชการทหารได้พิจารณาความผันแปรเหตุการณ์ของโลกปัจจุบัน (พ.ศ.2478) รู้สึกเป็นที่แน่ใจว่าอย่างไรเสียก็ต้องเกิดสงครามขึ้นอีก รูปของสงครามคราวต่อไปจะร้ายแรงกว่าที่แล้วๆ มาเป็นอันมาก เพราะด้วยความเจริญแห่งอาวุธและวิทยาศาสตร์ที่ใช้ในการประหัตประหารกัน จะมิใช่ทหารรบกันเท่านั้น จะต้องเป็นชาติต่อชาติรบกัน คือผู้คนในชาติหนึ่ง ทั้งผู้หญิง คนแก่ เด็ก จะต้องอยู่ในสนามรบพร้อมกัน เพราะเมื่อเกิดสงครามขึ้น เครื่องบินรบอีกฝ่ายหนึ่งจะพยายามเอาลูกระเบิดต่างๆ มาทิ้งไว้ในที่ทั่วๆ ไป เพราะฉะนั้น จึงมีความจำเป็นโดยแท้ที่เราทั้งหลายทุกคนต้องเตรียมตัวหัดการรบไว้ให้พร้อม ถ้าชาติใดข่มเหง เราทุกคนในชาติจักได้ช่วยกันสู้รบอย่างเต็มที่ คือพวกเราต้องเป็นทหารของชาติ ทุกคนทั้งแผ่นดินนั่นเอง”

ข้อความในระเบียบทหารบกที่ 1/7742 ที่ผมยกมาข้างต้น คือระเบียบว่าด้วยนักเรียนที่เข้ารับการฝึกทหาร ซึ่งเริ่มใช้เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2478 โดยความในระเบียบข้อนี้ที่ระบุว่า “ชาติต่อชาติรบกัน คือผู้คนในชาติหนึ่ง ทั้งผู้หญิง คนแก่ เด็ก จะต้องอยู่ในสนามรบพร้อมกัน”

จึงทำให้ไม่แปลกอะไรที่รัฐจะเห็นว่า การนำใครที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมาฝึกทหารนั้นเป็นสิ่งอันสมเหตุสมผล เพราะถ้ามีสงครามเกิดขึ้น ใครทุกคนในชาติก็ต้องตกอยู่ในภาวะสงครามร่วมกันหมดอยู่แล้ว

ด้วยแนวคิดแบบนี้ การฝึกเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไว้จึงไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรเลย แถมยังเป็นเรื่องดีเสียอีก เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า หากว่าโลกจะเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ

แน่นอนว่า “ทหาร” ในที่นี้ไม่ใช่นายทหารอาชีพ เพราะในสมัยโน้นเขาเรียกอะไรทำนองนี้ว่า “ยุวชนทหาร” ต่างหาก

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอะไรเลยสักนิด ถ้าท่านผู้นำแปลกจะอยากกล่อมเกลาให้เด็กๆ มีจิตใจแบบทหาร โดยเฉพาะเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในช่วงที่จอมพลแปลกขึ้นมาดำรงตำแหน่งท่านผู้นำของประเทศอย่างพอดิบพอดี

 

เอาเข้าจริงแล้ว ทั้ง “ระเบียบ” และ “วินัย” ของเด็กนักเรียนไทย จึงตั้งอยู่บนฐานของสถานการณ์ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (แน่นอนว่าเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับยุคเรืองอำนาจของจอมพล ป. แต่ก็เป็นเรื่องที่มีพื้นฐานมาก่อนที่จอมพลท่านนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ) มาตั้งแต่ครั้งนั้น จนกระทั่งถึงในปัจจุบันนี้ เด็กไทยจึงยังต้องถูกคาดหวังให้ให้ตัดผมทรงพร้อมไปรบอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่ได้จะไปรบกับใครเขาเสียหน่อย

อันที่จริงแล้ว ถึงจะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรถึงระเบียบและเหตุผลในการตัดผมเกรียนและสั้นเสมอติ่งของนักเรียนชายและหญิง แต่เรายังมีภาพถ่ายเก่าๆ ของนักเรียนไทยในยุคนั้น

ตัวอย่างที่สำคัญชิ้นหนึ่งคือ รูปของ ม.ล. ปิ่น มาลากุล ขณะที่เป็นนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ซึ่งไม่ได้ตัดผมเกรียน (แน่นอนว่ายังต้องมีภาพของนักเรียนคนอื่นๆ อีกเช่นกันที่ผมไม่ได้เอ่ยถึง เพราะไม่เคยเห็น หรือเห็นแล้วแต่จำไม่ได้) จึงเป็นได้ว่า ยังไม่มีระเบียบที่ชัดเจนถึงการตัดผมสั้นเกรียน แต่เป็นไปในทางจารีตปฏิบัติ

ลายลักษณ์อักษรฉบับแรกที่พูดถึงการตัดผมสั้นเกรียนของนักเรียนไทยเป็นผลมาจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 เมื่อปี พ.ศ.2515 ที่จอมพลถนอม กิตติขจร ทำรัฐประหารตนเอง ที่มีข้อความว่า

“นักเรียนและนักศึกษาควรจะได้รับการอบรมใกล้ชิดจากบิดา-มารดา ผู้ปกครองและครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดา-มารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอน รวมทั้งอยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง เป็นการสมควรที่จะส่งเสริมและคุ้มครองความประพฤติ การแต่งกาย และจรรยามารยาทให้รัดกุมยิ่งขึ้น”

จากประกาศฉบับนี้แหละครับที่ทำให้เกิดกฎกระทรวงฉบับที่ 1 ในปี พ.ศ.เดียวกัน ที่ลงรายละเอียดไปว่า นักเรียนจะต้องตัดผมข้างเกรียน และมีผมข้างหน้าและกลางศีรษะยาวได้ 5 เซนติเมตร

 

ทั้งทรงผมเกรียนและทรงผมสั้นเสมอติ่งของนักเรียนไทย นอกเหนือจากจะได้รับแบบอย่างมาจากทหาร เพื่อแสดงถึงความเตรียมพร้อมที่จะออกรบแล้ว จึงยังเป็นสัญลักษณ์ของความสยบยอมและเชื่องเชื่อต่ออำนาจ โดยเฉพาะอำนาจของเผด็จการที่ตกค้างมาถึงปัจจุบัน

และมันก็ยิ่งฟังดูตลกดีนะครับ ที่ “ท่าน ดร.รองปลัด” คนดังกล่าวพยายามดึงดัน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วราชกิจจานุเบกษา ระเบียบกระทรวงการศึกษา ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 จะมีข้อความระบุเอาไว้ชัดเจนว่า

“(1) นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านข้าง ด้านหลังต้องยาวไม่เกินตีนผม ด้านหน้าและกลางศีรษะให้เป็นไปตามความเหมาะสมและมีความเรียบร้อย

(2) นักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือผมยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย”

แน่นอนว่าที่น้องๆ กลุ่ม “นักเรียนเลว” ที่มาเข้าร่วมสนทนาในรายการคือการยกเลิกข้อจำกัดในเรื่องทรงผมทั้งหมด (เพราะเป็นการขัดต่อข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ว่า “บุคคลมีสิทธิและเสรีภาพในร่างกาย” ซึ่งย่อมรวมถึง “เส้นผม”) แต่ข้ออ้างเรื่อง “เหา” ของท่าน ดร.รองปลัด ก็ยังแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังลึกๆ ของคนรุ่นเก่า ที่ดูจะอิ่มสุขมากกว่าถ้านักเรียนทั้งหลายจะไว้ผมทรงเกรียนหรือสั้นเสมอติ่งเหมือนพวกเขาเมื่อวัยเยาว์

ดังนั้น จึงไม่ต้องประหลาดใจเลยว่า ทำไมลึกๆ แล้วอำนาจในสังคมไทยจึงไม่อยากให้เด็กนักเรียนไว้ผมยาวกันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์อย่างเช่นทุกวันนี้