ทราย เจริญปุระ | พร้อมรับมือ “หนาว”

เพิ่งรู้สึกว่าเข้าหน้าหนาวจริงก็เช้านี้

วันเดือนเคลื่อนคล้อยหมุนตามจังหวะแกนโลกหันรับดวงอาทิตย์ ส่วนชีวิตฉันหมุนตามระดับน้ำที่ขึ้นลงในจิตใจ

มันแทรกเข้ามาทุกวัน วูบวาบตรงนั้นตรงนี้ในความคิด

ขณะขับรถ ช่วงตักข้าวเข้าปาก บุหรี่เฮือกสุดท้ายในลมหายใจ, เราทำอะไร เราคือใคร เรากำลังจะมุ่งไปสู่หนไหน วันเดือนยืดยาวและทบกลับกลายเป็นวันเดียวกัน

เสื้อผ้าถูกทอดทิ้งละเลย

หน้าตาเนื้อตัวถูกชำระล้างพอให้ผ่านวันไป ไม่มีการหย่อนใจ มีแต่การจบวันให้ได้เพื่อจะลากสู่วันต่อไป

ปัญหามีเอาไว้แก้กันครั้งหน้า เดินข้ามความผิดพลาดไปเรื่อยๆ สู่อะไรที่อันตรายขึ้น ใหญ่ขึ้น

และไม่อาจบอกได้ว่าจุดสิ้นสุดของแต่ละคนคืออะไร

ฟ้าอาจจะสลัวมาหลายวันแล้วโดยที่เราไม่รู้ และท้องฟ้าก็ไม่ได้บอก

ตอนเด็กเรายินดีกับหน้าหนาวมากกว่านี้

เสื้อหนาวสีชมพูจัดจากแม่ ปักลายดอกไม้จากเศษผ้าหลากสีบนหน้าอกกันลมหนาวที่พรูพัดเข้าปะทะกลางสนามโรงเรียนได้

แต่กระโปรงนักเรียนต่ำเข่านิดเดียวไม่ให้ความร่วมมือ แข้งขาแข็งกึกหนาวสั่น แตกริ้วเป็นเส้นขาวๆ คันยุบยิบ เผลอก็เกาจนได้เลือดได้แผล

วิธีที่พอจะสร้างความอบอุ่นคือย่อตัวลงให้ชายกระโปรงห่มคลุมกรอมเท้า

ตอนนั้นถึงจะได้รู้ว่าแดดอุ่นแค่ไหน และเงาบนพื้นนั้นกรองผ่านร่มใบละเอียดจิ๋วของหางนกยูง เป็นพื้นที่สลัวที่อุ่นพอ และจะอยู่แบบนั้นนานเท่านานกว่าที่จะมีใครมาหยุดถามว่าทำอะไรอยู่

นั่งอยู่

ทุกวันนี้จะมีเวลาแบบนั้นได้กี่ครั้ง

การตอบคนว่านั่งอยู่ที่หมายความว่านั่งอยู่จริงๆ ห่างหายไปนานแล้ว

เหลือแค่การนั่งคิดอยู่ ยืนคิดอยู่ เดินคิดอยู่ เรื่องจุกจิกจิปาถะหมุนวนในหัวรอการจัดระเบียบ ซึ่งก็ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน รอแค่ให้มันพยายามจัดการตัวเอง กวาดผลักไปสุมอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง

เพื่อหาพื้นที่ให้กับเรื่องใหม่ ปัญหาใหม่ที่โถมใส่กันทุกวัน

และทั้งที่ตัดสินใจบอกลาไปแล้ว ก็ยังสั่นสะเทือนในใจ ไม่ใช่ความเศร้าจากความรักที่บอกลา

แต่สั่นสะเทือนในแง่ที่ว่า เรากลายเป็นใครไปแล้ว

มนุษย์ทั่วไปอาจจะลำบากใจ อาจจะร่ำไห้ อาจจะชั่งใจว่ามันคือทางเลือกที่ถูกต้องเหมาะสมจริงหรือเปล่า ดีหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า

แต่ฉันกลับว่างเปล่าแกมโล่งใจ

เขาไม่ผิดอะไร และด้วยความทะนงตนอันโง่เง่าที่ประกอบขึ้นมาเป็นฉัน ฉันก็ไม่ได้ผิดอะไร

การทอดทิ้งความสัมพันธ์หนึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้กับสิ่งที่จะสัมพันธ์อื่น

เราสังเวยเรื่องจุกจิกเล็กน้อยให้กับใครบางคน เรื่องบางเรื่อง วันบางวัน โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากกว่าจะได้ทำเช่นนั้นหรือไปอยู่ตรงนั้น ตั้งใจทำ และเห็นมันเกิดขึ้นตรงหน้า ความล่องลอยของหัวใจที่พร้อมจะตื่นเต้นกับเรื่องตรงหน้าคือเรื่องดี และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้หากเรายังกังวล

คนหัวช้าอย่างฉันทำได้แค่บางเรื่อง ทีละเรื่อง และใช่ว่าจะออกมาได้อย่างใจปรารถนาทุกครั้ง

แต่บางอย่างในบางครั้งก็คุ้มค่า คุ้มค่าอย่างยิ่ง คุ้มค่าพอที่จะแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมีให้หายไป และรับสิ่งเหล่านั้นเข้ามาหมุนเวียนในตัวแทน

ฉันไม่ได้ถูกสอนมาให้ยอม แม้จะเป็นเด็กดีบ้างในบางส่วน แต่ความขบถบางอย่างงอกงามแล้วคงอยู่ตลอดไป

ไม่อาจบังคับให้ใครเป็นเช่นเดียวกัน ความสงสัยนั้นตัดทิ้งไม่ได้ แล้วถ้า จะเกิดอะไรขึ้นหาก แล้วมันจะเป็นแบบไหนได้อีก ลองดูก่อนได้ไหม ทำไมเราไม่คิดแบบนี้ ถ้าทำแล้วมันจะทำไม เส้นทางความเป็นไปได้พันอย่างก่อสานในจิตใจ ห่มคลุมปกเต็มพื้นที่

ไร้หัวใจที่เอาไว้ใช้เพื่ออะไรอย่างอื่น นอกจากความรักเล็กๆ น้อยๆ อันส่วนตัวและบางความทรงจำที่เชื่อมโยงกับชีวิตและตัวตน

ในบางวันที่เงียบพอและไร้ผู้คน

ฉันพาตัวเองลงไปในสวน ไม่เห็นสิ่งใดงอกงาม เงาบนพื้นหนาวกว่าที่ติดค้างบนกิ่งไม้ ไม่มีอะไรทำให้มันอุ่นได้ แกะปัญหาทีละอย่างมาวางกองตรงหน้า หยิบมาพิจารณาดูทีละแง่มุม

คิดถึงความเป็นไปได้ในความเงียบอันอ่อนโยนไม่คุกคาม ไม่มีคำถาม

ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอเวลาเราอยู่คนเดียว และโลกก็ดูจะอนุญาตให้เราทำเช่นนั้นได้

โลกในความเงียบมีความหวังเสมอ ไม่ถามอะไรเราจุกจิก ไม่จี้ติดอย่างโง่ๆ ไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องเดินเล่น ไม่ต้องประคับประคอง ไม่ต้องการรูปเราร่างเราไปผูกติดฉีกยิ้มแปะหน้า ไม่ต้องหาเหตุผล ไม่ต้องการคำตอบ

โลกเช่นนี้คือโลกที่ฝัน โลกเช่นนี้คือโลกที่ฉันบอกตัวเองว่ามันเฝ้ารอฉันอยู่ที่ปลายทาง ที่จุดตัดของเหตุการณ์บางอย่างกับวันเวลา โลกจะเงียบสงบพอที่จะรับฟังเสียงอื่น เสียงของฉัน เสียงของเธอ โดยไม่จี้ถามกลับ ไม่เอาแต่เล่าเรื่องของตัวเองโดยฉันไม่ได้ถาม และต้องบังคับหน้าตัวเองให้ดูสนอกสนใจ ส่งคำตอบรับแห้งแล้งไร้อารมณ์กลับเพียงเพราะต้องตอบ

ฉันอยากเป็นผู้ถามบ้าง อยากรู้บ้าง และอยากได้คำตอบมากกว่าเป็นผู้ต้องคอยตอบ เป็นที่รัก ที่ปรารถนา และที่รอคอย

หนาวแล้ววันนี้ หนาวไม่เท่าในวัยที่เคยผ่าน แต่ฉันพร้อมรับมือกว่าในวันนั้น เพราะฉันได้ครอบครองอ้อมกอดที่ปรารถนาแล้ว

ความเปลี่ยวดายอันกึกก้องเกินต้าน” เขียนโดย Bohumil Hrabal แปลโดยวริตตา ศรรัตนา