ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4 - 10 ธันวาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | รักคนอ่าน |
เผยแพร่ |
เพิ่งรู้สึกว่าเข้าหน้าหนาวจริงก็เช้านี้
วันเดือนเคลื่อนคล้อยหมุนตามจังหวะแกนโลกหันรับดวงอาทิตย์ ส่วนชีวิตฉันหมุนตามระดับน้ำที่ขึ้นลงในจิตใจ
มันแทรกเข้ามาทุกวัน วูบวาบตรงนั้นตรงนี้ในความคิด
ขณะขับรถ ช่วงตักข้าวเข้าปาก บุหรี่เฮือกสุดท้ายในลมหายใจ, เราทำอะไร เราคือใคร เรากำลังจะมุ่งไปสู่หนไหน วันเดือนยืดยาวและทบกลับกลายเป็นวันเดียวกัน
เสื้อผ้าถูกทอดทิ้งละเลย
หน้าตาเนื้อตัวถูกชำระล้างพอให้ผ่านวันไป ไม่มีการหย่อนใจ มีแต่การจบวันให้ได้เพื่อจะลากสู่วันต่อไป
ปัญหามีเอาไว้แก้กันครั้งหน้า เดินข้ามความผิดพลาดไปเรื่อยๆ สู่อะไรที่อันตรายขึ้น ใหญ่ขึ้น
และไม่อาจบอกได้ว่าจุดสิ้นสุดของแต่ละคนคืออะไร
ฟ้าอาจจะสลัวมาหลายวันแล้วโดยที่เราไม่รู้ และท้องฟ้าก็ไม่ได้บอก
ตอนเด็กเรายินดีกับหน้าหนาวมากกว่านี้
เสื้อหนาวสีชมพูจัดจากแม่ ปักลายดอกไม้จากเศษผ้าหลากสีบนหน้าอกกันลมหนาวที่พรูพัดเข้าปะทะกลางสนามโรงเรียนได้
แต่กระโปรงนักเรียนต่ำเข่านิดเดียวไม่ให้ความร่วมมือ แข้งขาแข็งกึกหนาวสั่น แตกริ้วเป็นเส้นขาวๆ คันยุบยิบ เผลอก็เกาจนได้เลือดได้แผล
วิธีที่พอจะสร้างความอบอุ่นคือย่อตัวลงให้ชายกระโปรงห่มคลุมกรอมเท้า
ตอนนั้นถึงจะได้รู้ว่าแดดอุ่นแค่ไหน และเงาบนพื้นนั้นกรองผ่านร่มใบละเอียดจิ๋วของหางนกยูง เป็นพื้นที่สลัวที่อุ่นพอ และจะอยู่แบบนั้นนานเท่านานกว่าที่จะมีใครมาหยุดถามว่าทำอะไรอยู่
นั่งอยู่
ทุกวันนี้จะมีเวลาแบบนั้นได้กี่ครั้ง
การตอบคนว่านั่งอยู่ที่หมายความว่านั่งอยู่จริงๆ ห่างหายไปนานแล้ว
เหลือแค่การนั่งคิดอยู่ ยืนคิดอยู่ เดินคิดอยู่ เรื่องจุกจิกจิปาถะหมุนวนในหัวรอการจัดระเบียบ ซึ่งก็ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน รอแค่ให้มันพยายามจัดการตัวเอง กวาดผลักไปสุมอยู่ข้างใดข้างหนึ่ง
เพื่อหาพื้นที่ให้กับเรื่องใหม่ ปัญหาใหม่ที่โถมใส่กันทุกวัน
และทั้งที่ตัดสินใจบอกลาไปแล้ว ก็ยังสั่นสะเทือนในใจ ไม่ใช่ความเศร้าจากความรักที่บอกลา
แต่สั่นสะเทือนในแง่ที่ว่า เรากลายเป็นใครไปแล้ว
มนุษย์ทั่วไปอาจจะลำบากใจ อาจจะร่ำไห้ อาจจะชั่งใจว่ามันคือทางเลือกที่ถูกต้องเหมาะสมจริงหรือเปล่า ดีหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า
แต่ฉันกลับว่างเปล่าแกมโล่งใจ
เขาไม่ผิดอะไร และด้วยความทะนงตนอันโง่เง่าที่ประกอบขึ้นมาเป็นฉัน ฉันก็ไม่ได้ผิดอะไร
การทอดทิ้งความสัมพันธ์หนึ่งเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้กับสิ่งที่จะสัมพันธ์อื่น
เราสังเวยเรื่องจุกจิกเล็กน้อยให้กับใครบางคน เรื่องบางเรื่อง วันบางวัน โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากกว่าจะได้ทำเช่นนั้นหรือไปอยู่ตรงนั้น ตั้งใจทำ และเห็นมันเกิดขึ้นตรงหน้า ความล่องลอยของหัวใจที่พร้อมจะตื่นเต้นกับเรื่องตรงหน้าคือเรื่องดี และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้หากเรายังกังวล
คนหัวช้าอย่างฉันทำได้แค่บางเรื่อง ทีละเรื่อง และใช่ว่าจะออกมาได้อย่างใจปรารถนาทุกครั้ง
แต่บางอย่างในบางครั้งก็คุ้มค่า คุ้มค่าอย่างยิ่ง คุ้มค่าพอที่จะแลกทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังมีให้หายไป และรับสิ่งเหล่านั้นเข้ามาหมุนเวียนในตัวแทน
ฉันไม่ได้ถูกสอนมาให้ยอม แม้จะเป็นเด็กดีบ้างในบางส่วน แต่ความขบถบางอย่างงอกงามแล้วคงอยู่ตลอดไป
ไม่อาจบังคับให้ใครเป็นเช่นเดียวกัน ความสงสัยนั้นตัดทิ้งไม่ได้ แล้วถ้า จะเกิดอะไรขึ้นหาก แล้วมันจะเป็นแบบไหนได้อีก ลองดูก่อนได้ไหม ทำไมเราไม่คิดแบบนี้ ถ้าทำแล้วมันจะทำไม เส้นทางความเป็นไปได้พันอย่างก่อสานในจิตใจ ห่มคลุมปกเต็มพื้นที่
ไร้หัวใจที่เอาไว้ใช้เพื่ออะไรอย่างอื่น นอกจากความรักเล็กๆ น้อยๆ อันส่วนตัวและบางความทรงจำที่เชื่อมโยงกับชีวิตและตัวตน
ในบางวันที่เงียบพอและไร้ผู้คน
ฉันพาตัวเองลงไปในสวน ไม่เห็นสิ่งใดงอกงาม เงาบนพื้นหนาวกว่าที่ติดค้างบนกิ่งไม้ ไม่มีอะไรทำให้มันอุ่นได้ แกะปัญหาทีละอย่างมาวางกองตรงหน้า หยิบมาพิจารณาดูทีละแง่มุม
คิดถึงความเป็นไปได้ในความเงียบอันอ่อนโยนไม่คุกคาม ไม่มีคำถาม
ทุกสิ่งเป็นไปได้เสมอเวลาเราอยู่คนเดียว และโลกก็ดูจะอนุญาตให้เราทำเช่นนั้นได้
โลกในความเงียบมีความหวังเสมอ ไม่ถามอะไรเราจุกจิก ไม่จี้ติดอย่างโง่ๆ ไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องเดินเล่น ไม่ต้องประคับประคอง ไม่ต้องการรูปเราร่างเราไปผูกติดฉีกยิ้มแปะหน้า ไม่ต้องหาเหตุผล ไม่ต้องการคำตอบ
โลกเช่นนี้คือโลกที่ฝัน โลกเช่นนี้คือโลกที่ฉันบอกตัวเองว่ามันเฝ้ารอฉันอยู่ที่ปลายทาง ที่จุดตัดของเหตุการณ์บางอย่างกับวันเวลา โลกจะเงียบสงบพอที่จะรับฟังเสียงอื่น เสียงของฉัน เสียงของเธอ โดยไม่จี้ถามกลับ ไม่เอาแต่เล่าเรื่องของตัวเองโดยฉันไม่ได้ถาม และต้องบังคับหน้าตัวเองให้ดูสนอกสนใจ ส่งคำตอบรับแห้งแล้งไร้อารมณ์กลับเพียงเพราะต้องตอบ
ฉันอยากเป็นผู้ถามบ้าง อยากรู้บ้าง และอยากได้คำตอบมากกว่าเป็นผู้ต้องคอยตอบ เป็นที่รัก ที่ปรารถนา และที่รอคอย
หนาวแล้ววันนี้ หนาวไม่เท่าในวัยที่เคยผ่าน แต่ฉันพร้อมรับมือกว่าในวันนั้น เพราะฉันได้ครอบครองอ้อมกอดที่ปรารถนาแล้ว
“ความเปลี่ยวดายอันกึกก้องเกินต้าน” เขียนโดย Bohumil Hrabal แปลโดยวริตตา ศรรัตนา