ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน - 3 ธันวาคม 2563 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
วนในลูปเรื่องเล่าจอมขมังเวทย์ไทยอย่างขุนพันธ์ (บุตร พันธรักษ์; พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช) ผู้ได้ชื่อว่าคงกระพันชาตรี กำบังกายาและปราบเสือหรือโจรป่าห้าร้อยจนโด่งดังเป็นตำนานไทยจนวันนี้
แต่เรื่องขุนพันธ์ของฝ่ายไทยเรานี้ ช่างกระไรที่พ้องกับขุนพันธ์เขมรใครคนหนึ่ง ซึ่งคือดาบ ชวน เข็มเพชร (มจุลเพชร) ทั้งเป็นคนร่วมยุคดาบ ชวน และขุนพันธ์มีศักดิ์เป็นตำรวจมือปราบ
ท่านเข็มเพชรเกิด พ.ศ.2455 ส่วนขุนพันธ์เกิดปี 2446 โดยตำแหน่งมือปราบดาบ ชวน คือหัวหน้ากองกำลังเขมรอิสระช่วยกู้เอกราช โดยรบกับฝรั่งเศสบริเวณตะวันตกของประเทศ
และพ่วงตำแหน่งทางการคือ เจ้าเมืองเสียมราฐ (เสียมเรียบ) เขตปกครองพิเศษเวลานั้น
มีบรรดาศักดิ์ชั้นตราขั้น “สมเด็จเจ้าพระยา” นามเต็ม “สมเด็จตรัญ”
แต่ที่ลือลั่นกว่า คือทั้งขุนพันธ์และดาบ ชวน ต่างได้ชื่อว่าผู้มีมนตราอาคม
น่าเสียดายที่ดาบ ชวน ต่อมาเจอข้อหากบฏทำให้เรื่องราวหลักฐานชีวิตของดาบ ชวน ถูกทำลายไปจนเกือบหมด โดยเฉพาะคฤหาสน์อาคาร 2 ชั้นบนที่ดินราว 3 ไร่ ริมถนนเก่าชาร์ลเดอโกลสู่ปราสาทนครวัด ที่เดิมทีในสมัยรัฐบาลสังคมราชนิยมจัดเป็นเรือนรับรองของรัฐบาล
แต่หลังปี 2522 หลังสิ้นยุคเขมรแดง รัฐบาลเฮง สัมริน ก็เปลี่ยนจวนร้างแห่งนี้เป็นศูนย์ศิลปะยุวชนจังหวัด ต่อมาเป็นศูนย์อบรมเยาวชนและกีฬาในกระทรวงศึกษาธิการแต่นั้นมา
ราวปี พ.ศ.2557 รัฐบาลสมเด็จฯ ฮุน เซน ขายทรัพย์สินราชการแก่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งรับเหมาก่อสร้างศาลากลางจังหวัดให้รัฐนั่นเอง
นับเป็นการสูญเสียประวัติศาสตร์สถานที่น่าหวงแหน เพราะหลังจากรื้อซากอาคาร “จวนผู้ว่าฯ” สมบัติชิ้นเดียวของดาบ ชวน แล้วก็ดูจะไม่หลงเหลือใดๆ ในประวัติบุคคลผู้นี้อีกต่อไป
แม้ในห้วงปีนั้นมีนักประวัติศาสตร์วิทูจำนวนหนึ่งออกหน้าคัดค้าน หนึ่งในนั้นคือทาว เทียน เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยที่ศูนย์เยาวชนฯ และทำงานที่นี่มาตั้งแต่ยังหนุ่ม (2531) แต่ดูชีวิตราชการจะไม่ก้าวหน้าเสียงั้น
อย่างไรก็ตาม ตำหนักผู้ว่าฯ ดาบ ชวน ที่มีมูลค่าสูงลิบมากเวลานั้น ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครจดจำ รวมทั้งชีวิตลือลั่นและโลดโผนโจนทะยานด้านมนตร์อาคม การเป็นสายลับ 2 หน้า 2 ประเทศเวียดนาม-ไทยอะไรคือข้อเท็จจริง? ทุกอย่างล้วนเป็น “อาจ (ถิ์) กรรมบัง”
กล่าวคือ มีความลึกลับอำพรางที่ไม่อาจมีใครเข้าถึง “ชุดความจริง” ใดๆ ของเขาได้ รวมทั้งทฤษฎีสมคบคิดกับซีไอเอนั้นด้วย
เมื่อดาบ ชวน ตายแล้ว บันทึกความจำและบทบาทของดาบ ชวน ต่อเมืองเสียมเรียบก็สูญหายไปด้วย กระนั้น ดาบ ชวน ก็สิ้นใจในดินแดนที่เขารัก อันต่างจากผู้ตักสัยศัตรูทั้งสองกษัตริย์สีหนุและลอน นอล ผู้ต่างหมดลมหายใจบนแผ่นดินอื่น
ไม่แต่เท่านั้น เรื่องราวของดาบ ชวน ยังวนเวียนอยู่ในความทรงจำของชาวเขมร ทั้งฝ่ายสนใจในไสยศาสตร์และประวัติศาสตร์ เป็นตัวละครปริศนาที่พาให้ผู้คนหลงใหลใคร่ติดตามด้านหนึ่งคือความคงกระพัน
และด้านหนึ่งนั้นคือ “อจีกรรมบัง” ทางการเมือง
อิทธิฤทธิ์อาคมของดาบ ชวน กึ่งทศวรรษมานี้ มีให้พูดถึงทวีคูณ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องแต่งขึ้น และลามไหลไปถึงความเชื่ออื่นๆ ซึ่งเกี่ยวกับพระองค์เจก-พระองค์จอม 2 สตรีในองค์ประติมากรรมยุคหลังแต่ถูกสร้างขึ้นเป็นตำนานองค์จอมเทวีสมัยพระนครวัด (?) บ้างก็ว่าเมืองพระนครธม (?)
และด้วยนิยมความเชื่อนั้น ก็ยิ่งทำให้องค์เจก-องค์จอมคือพระนางบารมีที่น่าสักการบูชาของชาวกัมพูชายิ่งไปอีก โดยความสำคัญขององค์เจก-องค์จอมซึ่งมีองค์สีนิลดำทั้งร่างนี้อยู่ในท่าประทับยืนและยกพระกรประหนึ่งในท่าพระพุทธปฏิมากรปางห้ามญาติ โดยองค์เจกยกพระกรขวา องค์จอมยกพระกรซ้าย เชื่อกันว่า ทั้งองค์เจกและองค์จอมยังเป็นเทวีแห่งมนตราอาคมทางสายยันต์เขมรโบราณ
นอกจากนี้ ให้สังเกตที่พระเศียรของทั้งองค์เจกและองค์จอมต่างสวมเทริดแบบเดียวกัน
อนึ่ง เกี่ยวกับมงกุฎ-เทริดนี้ จะเป็นหลักฐานที่ขยายความสำคัญต่อประติมากรรมคู่นี้ว่ามีที่มาจากยุคไหนกันแน่?
แต่น่าสังเกตก็คือ อันองค์จอมนั้นคือเทวีองค์น้อย ที่เล่ากันว่า ขณะที่ดาบ ชวน กำลังหนีการไล่ล่าของฝ่ายศัตรูและจวนตัวนั้น จู่ๆ องค์จอมที่เคยประทับบ่าสบายกลับขยับองค์ไม่ได้ จนเขาตัดสินใจบั่นพระกรขวาเพื่อนำติดตัวไปเป็นเครื่องบูชา
และนั่นคือเหตุว่า ทำไมองค์จอมจึงสูญเสียพระกรขวา?
ถึงตรงนี้ อดีตสมาชิกเขมรอิสระพบพานและใกล้ชิดดาบ ชวน คนหนึ่งคือ ตามก เฮียน ได้สมอ้างว่า เนียงเจก-เนียงจอม คือพรายกระซิบที่คอยบอกดาบ ชวน ทั้งยามดีและยามร้าย
โดยเฉพาะยามเหตุเภทภัยคับขัน “อมเอ๋ยๆ-ลุงจ๋าๆ ตื่นเถิดๆ มีคนแปลกหน้ากำลังมาที่นี่!” พอเห็นท่าไม่ดี ดาบ ชวน จะพรางตัวหนีไปก่อน แต่บางครั้งบางครา ศัตรูก็เป็นฝ่ายตกใจดาบ ชวน ว่า เขารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างไร?
ในที่สุดเรื่องร่ำลืออาคมนานาก็ดังระบือไป
ในอาคมที่ว่านี้ ยังมีเรื่องเล่าอีกครั้งในยุคของฉัน ต่อกรณีที่ พล.อ.ยึก บุนชัย นายทหารระดับสูงพรรคฟุนซินเปกถูกกองกำลังฮุน เซน ทำการไล่ล่าเป็นวันที่ 3 ซึ่งตรงกับเช้าวันที่ 7 กรกฎาคม 1997/2540 วันรัฐประหาร
ยึก บุนชัย ขณะนั้นเผชิญกรรมหนีตายเกาะกลุ่มกับเพื่อนๆ นายทหาร และกำลังคิดหาทางหลบหนีอยู่นั้น จู่ๆ ทันทีที่เงากลุ่มศัตรูโผล่มาจากแสงแดดยามเข้า เขาก็ปลีกฉากออกมาจากกลุ่มใหญ่ตรงไปยังพุ่มไม้
และให้บังเอิญพลทหารคนหนึ่งเดินตามเขามา ยึก บุนชัย จึงดึงหมอนั่นหายเข้าไปในพุ่มไม้แห่งนั้นด้วย
นี่เป็นวิชาบังไพรหรือไม่ ไม่มีใครทราบ เพราะมีแต่ยึก บุนชัย ที่ต่อมาเผยว่าเขาได้ยินเสียงพูดคุยของทหารฮุน เซน ที่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ศอก มันคือหน่วยของกองพลน้อยที่ยึก บุนชัย รู้ดีว่า มีความโหดร้ายในการสังหารศัตรู
โชคดีที่คนพวกนี้มองไม่เห็นยึก บุนชัย
หรือว่าเขาใช้อาคมวิชาบังไพร? ร่ายอาคมบังตนจริงๆ? เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นที่ราบทุ่งนามีแต่ไม้ใหญ่ทุ่งและเนินปลวกไม่กี่แห่ง
ไม่เท่านั้น นอกจากทหารติดตามคนหนึ่งแล้ว พล.อ.บุนชัยยังมีอุปกรณ์สื่อสารและสัญญาณดาวเทียมเคลื่อนที่ที่เขานำติดตัวไปด้วย โดยนอกจากจะน้ำหนักมากถึงกับต้องแบกแล้ว ยังมีสีดำมะเมื่อม-ไม่ต่างจากองค์จอมของดาบ ชวน เมื่อ 32 ปีก่อน
จะโดยบังไพรหรืออะไรก็ตาม ยึก บุนชัย หนีหน่วยไล่ล่าทั้งทางบก-อากาศทุกเขตจังหวัดที่ปูพรมออกตามล่าตั้งแต่ทุ่งตากะซังถึงเกือบชายแดนไทย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายตัวไปที่ใด?
ยึก บุนชัย จึงรอดพ้นการถูกสังหารและถูกทำลายซากศพด้วยคุณไสยในแบบต่างๆ
ทั้งการทำลายอวัยวะภายใน ควักดวงตา ตัดคอ และอื่นๆ ซึ่งเท่าที่ขุดพบ ล้วนถูกบันทึกเป็นหลักฐานโดยเจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนทั้งฝ่ายเขมรและต่างชาติ บ้างไม่เชื่อว่า การทำลายซากศพเหล่านั้นเป็นไปเพื่อการ “สะกดวิญญาณ”
ผ่านการเดินเท้ารอนแรมในป่า กำปงสะปือ โพธิสัตว์ พระตะบองเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม ยึก บุนชัย ซึ่งติดไข้ป่ามาลาเรีย เขาอ่อนเพลียมากเมื่อไปถึงบันเตียเมียนจัย
ข่าวยึก บุนชัย รอดตายจากรัฐประหาร ยิ่งกว่าเรื่องราวของวีรบุรุษ
อย่างไรก็ตาม แม้จะเหลือรอดชีวิตมาได้ แต่ พล.อ.ยึก บุนชัย กลับตกอยู่ภายใต้เงามืดของทฤษฎีสมคบคิดกับศัตรูทำลายพรรคฟุนซินเปกที่ตนเคยสวามิภักดิ์
แต่นั้นมา ชีวิตนายพลคนนี้ก็ถึงกาล “ลึกลับ” และ “อาจ-(ถิ์)-กรรมบัง”