จัตวา กลิ่นสุนทร : เพิ่มระดับความรุนแรง

เป็นไปตามที่คาดหมายกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า “ความรุนแรง” จะติดตามมาหลังจากที่กลุ่มคนใส่เสื้ออีกสีหนึ่งเริ่มออกมาชุมนุม

ไม่จำเป็นต้องมีสติปัญญาลึกซึ้งขั้นเทพขนาดไหนย่อมจะพออ่านออกว่าสักวันหนึ่งการ “ปะทะ” กันระหว่างคน 2 กลุ่ม หากยังเดินทางไปชุมนุมแห่งเดียวกันกับกลุ่มมวลชนคณะ “ราษฎร 2563” ซึ่งมันก็เกิดขึ้นแล้วบริเวณหน้าสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเย็นค่ำวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2563 เมื่อคน 2 กลุ่มไปพบกันยังสถานที่เดียวกันแต่คนละเป้าหมายและอุดมการณ์

ไปพบเจอกันบริเวณหน้าสภาผู้แทนราษฎร ปรากฏว่ากลุ่มหนึ่งเดินทางเข้าไปยังบริเวณสภาได้โดยไม่ได้ถูกขัดขวางพร้อมได้รับการอำนวยความสะดวก

แต่อีกกลุ่มถูกขัดขวางจากตำรวจแบบรุนแรงจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะกัน

วิเคราะห์กันต่อไปอีกเรื่องหนึ่งโดยหยิบเอาประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศนี้มาเทียบเคียงอีกว่า ถ้าเหตุการณ์ยังดำเนินไปอย่างเช่นทุกวันนี้โดยที่ยังไม่มีการหันหน้าเข้าหากัน หรือถอยคนละก้าวสองก้าว ผ่อนปรนลดทอนอะไรได้ ก็ควรจะยอมเพื่อที่จะอยู่ร่วมกันได้บนความแตกต่าง เหตุการณ์ร้ายๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่พึงประสงค์อาจกลับมาเกิดซ้ำ

แล้ววันนั้นประเทศของเราจะยากเกินเยียวยา

 

ใครที่คิดว่าการยึดอำนาจ การทำรัฐประหารโดยทหารซึ่งเป็นผู้ทำการปฏิวัติรัฐประหารตลอดมาตั้งแต่อดีตกระทั่งถึงปี พ.ศ.2557 คงจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว ขอให้ท่านเลิกความคิดนั้นเสีย เพราะอะไรๆ มันเกิดขึ้นได้ถึงแม้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ.จะพูดว่าการปฏิวัติเป็นศูนย์ และต่อมาท่านพูดอีกว่าการปฏิวัติติดลบ

ทหารที่อยู่ในฐานะผู้คุมกำลังส่วนใหญ่ของทัพซึ่งสามารถทำการปฏิวัติ รัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลได้จากอดีตมักพูดว่า “ไม่ปฏิวัติ” ด้วยกันทั้งสิ้น รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีหนังเหนียวคนที่กำลังถูกประชาชนจำนวนมากมายมหาศาลขับไล่อยู่ทุกวันนี้ ก่อนการยึดอำนาจก็บอกว่าจะไม่ทำ (รัฐประหาร) มาก่อนทั้งนั้น

สุดท้ายเป็นอย่างไร 6-7 ปีมานี้บ้านเมืองทรุดโทรมตกต่ำแตกแยกมากกว่าก่อนการปฏิวัติหรือไม่? วิเคราะห์เจาะลึกค้นหาเอาเอง ในเวลาเดียวกันการขยายอำนาจการปกครองอย่างเผด็จการ รัฐราชการรวมศูนย์ รวบอำนาจอยู่คนเดียวอย่างที่เห็นกันอยู่สองตา

คนที่ได้รับประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ (อาจเป็นส่วนน้อย) เจ้าสัว พ่อค้า นายทุนผู้ใส่เม็ดเงินเพื่อก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ นักการเมืองฝั่งฟากสนับสนุนรัฐบาล พวกประจบสอพลอเอาตัวรอด และกลุ่มวุฒิสมาชิกที่ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย รวมทั้งพี่น้องญาติมิตรเพื่อนร่วมรุ่น นายเก่า ลูกน้องที่เดินตามกันมาจากกองทัพ

ที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาเลือก พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายกฯ และได้รับประทานเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ไปเต็มๆ เอาเปรียบเหยียบเหยียดประชาชนคนยากไร้ เรียกว่าเป็นกลุ่มคนจำนวนน้อยนิดที่ได้รับประโยชน์

คนพวกนี้ที่เห็นดีเห็นงามให้การสนับสนุนอย่างสุดลิ่ม

 

ความจริงทุกวันนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทำอะไรๆ คงปิดบังประชาชนเจ้าของประเทศไม่ได้อีกต่อไป การตรวจสอบมิได้เพียงแต่พรรคฝ่ายค้านในสภาเท่านั้น ประชาชนสามารถติดตามค้นหาข้อมูลต่างๆ เอาเองได้ไม่ยากอะไร

พล.อ.ประยุทธ์เดินงานทำเรื่องอะไรอยู่ ไม่ว่าจะปกปิดเป็นความลับขั้นสุดยอดเพียงไหน ดูเหมือนจะไม่พ้นการรับรู้รับทราบจากกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนคนรุ่นใหม่ หรือกลุ่ม “คณะราษฎร 2563” ไปได้

รัฐบาลจากการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ที่วางแผนยึดอำนาจมาไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แปลว่าอยากเข้ามาเป็นเอง และต้องการอยู่ยาวต่อไป ซึ่งหมายความเมื่อรัฐบาลนี้ครบเทอม 4 ปีแล้ว วุฒิสมาชิกซึ่งมีอายุ 5 ปี พวกเขายังอยู่เลือก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ ได้อีกหนึ่งสมัย

แปลว่า ถ้าหากไม่มีการต่อต้านพยายามเปลี่ยนแปลง นายกฯ คนนี้จะเป็นผู้พาประเทศลงเหวไปพร้อมๆ กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีแน่ๆ

 

ยอมรับว่านักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชนคนรุ่นใหม่ มีความรู้ความสามารถ มีสายตายาวไกล และกล้าหาญมาก จึงได้รวมตัวกันออกมาต่อต้านรัฐบาลและเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” ติดตามถามหาอนาคตของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อปลายปี พ.ศ.2562 ก่อนจะโดนด้อยค่าดูแคลนพวกเขาว่าม็อบเด็กๆ ขนาดลิ่วล้อทหารหญิงบางนางเยาะเย้ยว่าเป็นม็อบมุ้งมิ้ง (ไม่ทราบว่าทุกวันนี้ถูกย้าย/ถูกเบิร์ดกะโหลกหรือยัง)

เกิดการระบาดขึ้นของไวรัสโคโรนาจากประเทศจีนก่อนกระจายไปทั่วโลกได้กลายเป็นระฆังช่วยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเมืองถูกล็อกดาวน์ ม็อบจึงหยุดพักไป

จนมาถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2563 กลุ่มนักเรียนปลดแอก ตามด้วยประชาชนปลดแอก กลุ่มนักเรียนเลว และอื่นๆ จำนวนมากได้กลับมารวมตัว ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอีกครั้ง

การชุมนุมของกลุ่มคนรุ่นใหม่จากอนุสาวรีย์ ต่อไปยังการชุมนุมเบิ้มๆ ในเดือนสิงหาคมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พร้อมปรากฏข้อเรียกร้องดุเดือดกล้าหาญ มีการวางแผนฝังหมุด “คณะราษฎร 2563” ยังท้องสนามหลวงพร้อมการเรียกร้อง 3 ข้อหนักๆ แรงๆ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ (ซึ่งเป็นตัวปัญหา/เป็นศูนย์รวมของความขัดแย้ง) ลาออกไปพร้อมจัดทำรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่

ตุลาคม 2563 เดือนแห่งประวัติศาสตร์ กลุ่มคณะ “ราษฎร 2563” นัดรวมพลที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันที่ 13 ตุลาคม กลุ่มที่เดินทางมาล่วงหน้าถูกบุกจับกุมตัว วันที่ 14 ตุลาคม ต่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ตำรวจบุกรวบตัวแกนนำสำคัญๆ พร้อมออกหมายจับตัวแกนนำตอนเช้ามืด พร้อม พล.อ.ประยุทธ์ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงแรงในเขตกรุงเทพมหานคร ก่อนจะมายกเลิกพร้อมคำพูดว่า “ถอยคนละก้าว” จนนักวิเคราะห์ทั้งหลายต่างมองว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

ถึงแกนนำถูกควบคุมตัว แต่การชุมนุมขนาดใหญ่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมายังบริเวณสี่แยกราชประสงค์ 15 ตุลาคม 2563 ขยับสับขาหลอกตำรวจในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 สู่บริเวณสี่แยกปทุมวัน ซึ่งครั้งนี้ต้องพบกับการฉีดน้ำผสมสีและสารเคมีอย่างรุนแรง เพื่อจะให้เข็ดหลาบและฝ่อจนถึงเลิกรา

แต่ม็อบกลับเติบโตอย่างต่อเนื่องกระทั่งทุกวันนี้

 

การนิ่งเฉยของ พล.อ.ประยุทธ์ทำท่าลอยตัวอยู่เหนือปัญหาความขัดแย้ง เป็นการส่งสัญญาณว่า 3 ข้อที่กลุ่มราษฎร 2563 เรียกร้องนั้น รัฐบาลไม่รับสักข้อ เวลาเดียวกันก็ไม่มีอะไรส่อให้เห็นว่าจะมีการพบปะพูดคุยแก้ปัญหา แม้จะยอมเปิดสภาสมัยวิสามัญให้ผู้แทนราษฎรประชุมพูดคุยช่วยกันหาทางออก

ซึ่งดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ยอมให้แก้รัฐธรรมนูญเพียงเรื่องเดียว แต่ไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญของ “โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อประชาชน” หรือ “ไอลอว์” เรื่องนี้ดูได้จากบรรดากองหน้าลิ่วล้อที่พยายามออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา

ผมเคยเขียนหลายครั้งแล้วว่าการแก้รัฐธรรมนูญซึ่งได้สร้างค่ายกลป้องกันการแก้ไขไว้ยากมาก แต่คงไม่เกินความต้องการของประชาชนจำนวนมาก

เวลาเดียวกันอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์คนเดียว แต่การขยับเขยื้อนจากฟากรัฐบาลหนนี้ย่อมเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวอย่างหนักของกลุ่ม “คณะราษฎร 2563” ด้วย

การชุมนุมของกลุ่ม “คณะราษฎร 2563” ยืนยันเรียกร้อง 3 ข้อไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เฉพาะแบบเบิ้มๆ ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วเดินไปยังทำเนียบฯ เพื่อยื่นจดหมายให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก และบริเวณสามย่านเพื่อเดินต่อไปยื่นหนังสือยังสถานทูตเยอรมนี การชุมนุมทุกครั้งจะมีมวลชนเข้าร่วมจำนวนมากทั้งสิ้น

ไม่นับการชุมนุมคู่ขนานทั่วประเทศ

 

กว่าหนังสือฉบับนี้จะถึงมือท่านผู้อ่าน ยังไม่รู้ว่ากลุ่ม “ราษฎร 2563” จะนัดชุมนุมกันอีกกี่ครั้ง ที่ไหนอย่างไร? หลังจากได้ตอบโต้ “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ด้วยการสาดสีใส่จนจำไม่ได้ พร้อมนัดชุมนุมกันอีกในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2563 แต่เชื่อแน่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหลายจะต้องถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายทุกชนิดที่มีอยู่กันอีกยาว

รัฐบาล (โดยโฆษกรัฐบาล) ขอเชิญชวนผู้เห็นต่างทุกกลุ่มร่วมกันนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาด้านอื่นๆ นอกจากประเด็นการเมือง เช่น ข้อคิดเห็นเรื่องการแก้ปัญหา “เศรษฐกิจ”

แต่ดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์มักชอบฟังแต่คำหวานคำชมจากพวกประจบสอพลอมากกว่าฝ่ายอื่นๆ และ 6-7 ปีที่ผ่าน เห็นพูดอยู่คนเดียวในทุกๆ เรื่อง รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างจนแทบไม่ฟังใคร

แต่ประเทศนี้กลับติดหล่ม “เผด็จการ” เดินหน้าไม่ได้ กระทั่งประชาชนต้องออกมาชุมนุมเรียกร้อง “ประชาธิปไตย”

ถามหา “ความเป็นธรรมในสังคม”