จรัญ พงษ์จีน : 2 ธ.ค. วันชี้ชะตานายกรัฐมนตรี

จรัญ พงษ์จีน

ยกกรณี “ผู้นำฝ่ายค้าน” และพวก ยื่นร้องกล่าวโทษ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เจตนากระทำผิดร้ายแรง-เจตนาฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ-ใช้อำนาจมิชอบ มีพฤติกรรมผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

กล่าวหาว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เกษียณอายุราชการออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกมาแล้ว 5 ปี แต่ยังอาศัยอยู่บ้านพักหลวงในค่ายทหาร ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์

กระทำการเข้าข่ายจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญมาตรา 184 และ 186 รัฐมนตรีรับเงินหรือผลประโชยชน์อื่นใดซึ่งคำนวณแล้วมูลค่าเกิน 3,000 บาทขึ้นไป

ซึ่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” ยุติการไต่สวน และนัดแถลงด้วยวาจา ลงมตินัดอ่านคำวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสามว่า “ความเป็นรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่” ให้คู่กรณีฟังในวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563

ขณะนี้เหลือเวลาเพียงสัปดาห์เศษ ให้ลุ้นระทึกว่าสิ่งที่ทุกคนสงสัย อยากรู้ หวยจะออกอย่างไร หน้าไหน สูง ต่ำ ไฮโล มันใกล้เข้ามามากแล้ว

สายลมแห่งโชคชะตากำลังจะพัดผ่าน รุกคืบเหลือไม่กี่ชั่วยาม จะรู้แจ้งแทงทะลุ “บุญมากาไก่ยังเป็นหงส์ บุญลงหงส์กลายเป็นกาไก่” หรือฟ้าใกล้สางลางไม่ดี ประการใด คำวินิจฉัยคือวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต้องให้ความเคารพกฎหมาย

แต่ส่วนมากเชื่อว่า “บิ๊กตู่” นั่นน่ะ แกลูกสมภาร หลานเจ้าวัด มักรอดปาฏิหาริย์มาได้ตลอด ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วในชั้นองค์กรอิสระ

มีเพียง “ตู่-จตุพร พรหมพันธุ์” ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ออกมาฟันธงย้อนศร “ว่าแม้คนส่วนใหญ่คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์รอด 99 เปอร์เซ็นต์ แต่ผมเชื่อฝั่ง 1 เปอร์เซ็นต์ว่าไม่รอด เพราะสถานการณ์บ้านเมืองเดินทางมาถึงทางตัน และการที่จะเอา พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากกระดาน ทำได้อย่างเดียวคือการให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งเรื่องนี้เหมือนกับกรณีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ทำกับข้าวออกโทรทัศน์”

โอกาสที่ “บิ๊กตู่” ไม่รอดในวันที่ 2 ธันวาคม น้อยนิดเท่ารูเข็ม หากเป็นจริง ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี…ความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวสิ้นสุดลงในบัดดล และต้องถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง หรือเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

เป็นการก้าวลงจาก “หลังเสือ” ตามช่องทางประตูพิเศษ หรือ “ประตูฉุกเฉิน” ทางออกเดียวกับ “สมัคร สุนทรเวช” นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เคยเช็กบิลมาแล้ว

 

กรณีที่ว่า “พล.อ.ประยุทธ์” โดนศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมีความผิดตามคำร้อง ไม่สามารถล้างไพ่ด้วยวิธีอื่น “ลาออก” ก็ไม่ได้ “ยุบสภา” ก็ด้วย ต้องเดินตามไฟต์บังคับ ตาม “มาตรา 272” แห่งบทเฉพาะกาล

ที่กำหนดไว้ว่า ในระหว่างห้าปีแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 ให้กระทำในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี

“ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา”

“สภาผู้แทนราษฎร” มี ส.ส. 500 คน “วุฒิสภา” มี 250 คน รวม 750 คน มากกว่ากึ่งหนึ่ง เกิน 375 เสียง

“บัญชีรายชื่อ” ที่พรรคการเมืองเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จำนวนที่เหลืออยู่ ที่เข้าสเป๊กมาตรา 159 เหลือเพียง “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” พรรคภูมิใจไทย “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” พรรคประชาธิปัตย์ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์-นายชัยเกษม นิติสิริ-นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” จากพรรคเพื่อไทย

สำรวจตรวจแถว แนวร่วมสองสภารวมกันทุกภาคส่วน “เสี่ยหนู อนุทิน” แม้จะสังกัดพรรคลำดับ 4 แต่ได้เปรียบมากกว่าใครเพื่อน

แต่กรณีที่ “ช่องทางที่ 1” อุดตัน บริหารจัดการกันไม่ลงตัว ต้อง “ข้ามห้วย” ไปสู่ “ช่องทางที่ 2”

ซึ่ง “วรรคสอง” กำหนดว่า หากกรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 ไม่ว่าเหตุผลใด และสมาชิกทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภา ขอให้รัฐสภามีมติยกเว้น เพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้

“ในกรณีเช่นนั้น ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และกรณีที่รัฐสภามีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาให้ยกเว้นได้ โดยจะเสนอชื่อผู้อยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา 88 หรือไม่ก็ได้”

สรุป กรณีที่มีรายการยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีตามช่องทางที่ 1 จากรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอชื่อทั้ง 5 รายข้างต้นได้

ก็สามารถผ่องถ่ายมา “ช่องทางที่ 2” จะจากรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอชื่อไว้หรือไม่ก็ได้ จะเป็น ส.ส.-ส.ว. หรือ “คนนอก” แต่ต้องมีเสียงรับรองอย่างท่วมท้นล้นเหลือ “2 ใน 3”

คือต้องมีเสียงสนับสนุนทั้งจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก รวมกันเกิน 500 เสียง

กรณีนายกฯ อะไหล่เสริมจาก “ช่องทางที่ 2” เป็นใครก็ได้ ที่มติต้องสองในสาม ได้รับการยกเว้น

บุคคลที่คุณสมบัติลงตัวมากที่สุดคือ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”

“บิ๊กป้อม” อาจจะมีจุดอ่อน พูดเป็นอยู่คำสองคำ ถามอะไร ตอบเป็นแค่ “ไม่รู้”

แต่มีข้อดีอยู่หลายจุด

1. เป็นพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ บารมียังคับแก้ว สามารถเป็นกันชนไม่ให้ใครไล่กระทืบซ้ำ “บิ๊กตู่” ที่หลุดจากศูนย์อำนาจได้

2. เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แกนนำรัฐบาล ยังหล่อรวมพรรคกลุ่มเครือข่ายเดิม ไม่ให้แตกแถวต่อไปได้ อย่างมีเอกภาพ

3. มีบทบาทมากที่สุดในการชงรายชื่อแต่งตั้ง 250 ส.ว.ชุดปัจจุบัน

ด้วยประการดังกล่าว เมื่อยกยอดของพรรคร่วมรัฐบาลจำนวน 270 เสียง ไปมัดรวมเข้ากับ 250 ส.ว. เสียงสนับสนุนก็เกินสองในสาม ก้าวข้ามช่องทางที่ 2 ไปอย่างสะดวกได้แล้ว

“บิ๊กป้อม” นั่งเก้าอี้หมายเลข 1 ตึกไทยคู่ฟ้า ม็อบสารพัดกลุ่มย่อมสลายตัว ไม่มีแรงกดดัน บริหารจัดการไปสักระยะ แล้วค่อยก้าวลงจากหลังเสือ

จบสวยแบบหนังไทย “พระเอก” ไม่ตาย