อนุสรณ์ ติปยานนท์ : เข้าป่าหามัสซึตาเกะ

ปากะศิลป์ฉบับอ่านใหม่ (57)
อุทยานรส (3)

“มัสซึตาเกะ

ข้าฯ ได้กลิ่นของมัน

หรือว่าเป็นกลิ่นที่ข้าฯ ไม่รู้จักกันหนอ?”

มัตสุโอะ บาโช กวีไฮกุ

 

ท้องฟ้าเช้าวันนั้นสดใสเป็นอย่างยิ่ง ร้อยเอกชินจิ นากามูระ โกนหนวดและเคราบนใบหน้าของเขาจนเกลี้ยงเกลา ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าป่านแขนสั้นและกางเกงขายาวสีกากี

เขาใส่ถุงเท้าสีขาวและรองเท้ารัดส้นสีน้ำตาล ก่อนจะสะพายตะกร้าขนาดย่อม หยิบไม้แหลมและมุ่งหน้าสู่ป่าในบริเวณใกล้เคียง

ผืนป่าในวันนั้นแห้งผากและเต็มไปด้วยกรวดหินที่ถูกชะล้างลงมาด้วยสายฝนเมื่อหลายวันก่อน

รอบข้างมีสนภูเขาขึ้นอยู่เรียงราย แทบไม่มีพันธุ์ไม้ชนิดอื่นให้พบเห็นแม้กระทั่งหญ้าก็มีให้พบน้อยเต็มที

ชินจิมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน เขาจินตนาการตนเองเป็นกวีในสมัยเฮอันที่ออกเดินทางไปทั่วญี่ปุ่นในฐานะอนาคาริกหรือผู้ไร้เรือน เพียงเพื่อจะพบกับความงามในธรรมชาติและสร้างสรรค์บทกวี

แต่ชินจิ นากามูระ ไม่ได้ดุ่มเดินเข้าสู่ป่าสนเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจเพื่อเขียนบทกวี

เขาดุ่มเดิมเข้าป่าแห่งนี้เพื่อค้นหาสิ่งที่สูงส่งกว่า

เขากำลังค้นหาเห็ด เห็ดที่มีชื่อว่า-มัสซึตาเกะ

 

ในใจกลางนครโตเกียว ศาสตราจารย์อิเคดะ คิคูนาเอะ จัดเตรียมอุปกรณ์ทดลองในห้องทดลองของเขาอย่างเงียบๆ เป็นเวลาบ่ายแล้ว เพื่อนร่วมงานในห้องข้างๆ พากันออกไปหาอาหารกลางวันรับประทาน แต่อิเคดะไม่เกิดความหิวโหย

กาแฟเพียงหนึ่งแก้วในยามเช้าทำให้เขาตื่นจนถึงยามนี้

เขาทบทวนความรู้สึกและรสชาติที่เขาได้รับเมื่อคืน เขาไม่แน่ใจว่ามันมีสารประกอบหรือองค์ประกอบทางเคมีใดในรสชาตินั้น

แต่เขาเชื่อว่ามันไม่ใช่รสชาติที่ขม เค็ม หวาน หรือเปรี้ยว ที่ผู้คนคุ้นเคย มันคือรสชาติใหม่ และรสชาตินี้เองที่เขาต้องค้นพบมันให้จนได้

อิเคดะก้มมองดูนาฬิกาข้อมือของเขา เกือบชั่วโมงแล้วที่ผู้ช่วยคนใหม่ของเขาออกไปตามหาสาหร่ายทะเลเพื่อนำกลับมาใช้ในการทดลอง โยชิมาสะ คูริอาระ เจ้าหนุ่มคนนั้นจะใช้งานได้ไหม

อย่างไรก็ตาม เขาก็มีท่าทีที่กระตือรือร้นและตั้งใจ อิเคดะนึกถึงตัวเขาเองในครั้งที่มีวัยใกล้เคียงกับโยชิมาสะ ตอนนั้นเขาอยู่กับศาสตราจารย์วิลล์เฮลม์ เมื่อนึกถึงช่วงเวลาตอนนั้น อิเคดะก็ยิ้มออกมา

อย่างไรก็ตาม เจ้าหนุ่มโยชิมาสะต้องโชคดีกว่าเขาแน่ การทำงานกับนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันที่ขึ้นชื่อในความเจ้าระเบียบและเที่ยงตรงนั้นอย่างไรก็ไม่ผ่อนคลายเท่ากับช่วงเวลาตอนนี้หรอก

เพื่อเป็นการฆ่าเวลาระหว่างการมาถึงของโยชิมาสะ สมุดบันทึกของอิเคดะถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง เขาจดสิ่งที่เขาคิดได้เพิ่มเติม

ในขณะเดียวกันเขาก็จดถึงระยะเวลาที่เขาคาดคิดว่าจะใช้ในการวิจัย สำหรับนักวิทยาศาสตร์ด้านเคมี

การค้นหาอะตอมหรืออนุภาคอื่นหรือสิ่งที่นำไปสู่อาวุธและปัจจัยด้านสงครามย่อมนำพาชื่อเสียงและเงินทองได้มากกว่า การมาสนใจเรื่องรสชาติน่ะหรือ ดูแล้วเป็นงานของพวกสมัครเล่นมากกว่า ใครก็รู้รสกันทั้งนั้นเวลากิน ตั้งแต่เกิดแล้วด้วยซ้ำไป

อิเคดะจดความแตกต่างระหว่างรส (Taste) และรสชาติ (Flavor) ลงในสมุดบันทึก ทำไมเขาถึงลืมความสำคัญข้อนี้ไปได้

รสหรือ Taste นั้นถูกรับรู้ผ่านลิ้นก่อนจะส่งการรับรู้ไปที่สมอง

สมองส่วนของการรับรู้รสจะเริ่มสร้างความจดจำ และนั่นคือการตรวจสอบรสที่แปลกปลอมดังที่เขารู้สึก

รสนั้นประกอบไปด้วยคุณสมบัติสี่ประการ

ข้อที่หนึ่ง มันคือสิ่งที่ผสมผสานกับน้ำลายและถูกรับรู้ผ่านลิ้น

ข้อสอง รสจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะ

ข้อสาม การรับรู้รสเป็นกระบวนการทางชีวเคมี

ข้อที่สี่ รสจะต้องสร้างปฏิกิริยาการรับรู้ของเราให้เราชอบหรือไม่ชอบในรสนั้นๆ

แต่รสชาติเล่า รสชาติเป็นสิ่งที่ผสมผสานกลิ่นและความรู้สึกอื่นๆ ด้วย หากจมูกของเราทำการไม่ได้เพราะเป็นหวัด เราจะไม่รับรู้รสชาติใดเลย สภาพไร้รสชาติคือสภาพเช่นนั้น

เสียงเคาะประตูดังขึ้น โยชิมาสะกลับมาแล้ว เขาโค้งคำนับอิเคดะก่อนจะวางสาหร่ายทะเลตากแห้งที่เขาได้มาบนโต๊ะทำงาน

การทดลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

 

ชินจินั่งพักเป็นครั้งแรกหลังจากเขาเดินขึ้นเขามาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง อากาศบนเขาเย็นสบาย เขาเปิดกระติกน้ำชาที่นำติดตัวมาขึ้นดื่ม เขาจิบน้ำชาอย่างช้าๆ แล้วนึกถึงเห็ดมัสซึตาเกะดอกแรกในชีวิต

ก่อนหน้าการขึ้นเขาไปเก็บเห็ดกับแม่ในครั้งนั้น เขาต้องเฝ้ารอการมีอายุครบแปดขวบเสียก่อน ตลอดเวลาก่อนหน้าครอบครัวของเขาเล่าเรื่องราวของเห็ดมัสซึตาเกะให้เขาฟังครั้งแล้วครั้งเล่า

พ่อของเขาเล่าว่าหมีในป่าจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อเห็ดมัสซึตาเกะ

ส่วนแม่นั้นเล่าเรื่องของกวางที่ถูกสังหารในขณะที่มันกำลังเคี้ยวเห็ดมัสซึตาเกะกินอย่างเพลิดเพลิน

“ไม่มีเห็ดชนิดใดมีกลิ่นหอมเท่าเห็ดมัสซึตาเกะ หรือว่าไปแล้วไม่มีอะไรในโลกนี้ที่มีกลิ่นหอมเท่าเห็ดมัสซึตาเกะก็ว่าได้” แม่ของเขากล่าวเช่นนั้น

และเป็นคำกล่าวที่ทำเขาได้ประจักษ์ความจริงในเวลาต่อมา

ดังนั้น ก่อนการเริ่มต้นการเก็บเห็ดครั้งแรก ชินจิ นากามูระ ฝึกการดมกลิ่นของเขาอย่างพากเพียร

เขามีความเชื่อว่าหากจมูกของเขาได้รับรู้ในกลิ่นที่คนอื่นรับรู้ไม่ได้ หากจมูกของเขารับรู้ในกลิ่นที่ไกลกว่าที่คนอื่นจะรับรู้ได้ เขาจะต้องเป็นนักเก็บเห็ดมัสซึตาเกะที่ยิ่งใหญ่แน่ๆ

เขาจะต้องหาเห็ดมัสซึตาเกะได้มากกว่าใคร เขาจะต้องได้เงินทองจากการใช้ประโยชน์จากจมูกของเขา การมุ่งพัฒนาการดมกลิ่นของชินจิ ทำให้ความสามารถด้านการรับรู้รสของเขาดีขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวอีกด้วย และเมื่อถึงเช้าวันที่เขามีอายุได้แปดขวบ แม่ของเขาก็แต่งตัวให้เขาในชุดเดินป่าตั้งแต่รุ่งสาง

ก่อนที่ทั้งคู่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขาสูง

 

หลังจากขึ้นเขาไประยะทางหนึ่ง แม่ของเขาชี้ไปที่โคนต้นสนต้นหนึ่ง พร้อมกับยื่นไม้แหลมยาวให้เขา ชินจิขุดไปรอบๆ โคนต้นไม้นั้นอย่างตั้งใจ

ไม่นานนักเขาได้กลิ่นหอมที่แปลกประหลาด เขาขุดลงไปจนถึงพบดอกสีขาวที่มีรากอยู่ลึกลงไป ด้วยความตั้งใจ

ราวครึ่งชั่วโมงเขาก็ดึงเห็ดมัสซึตาเกะดอกแรกขึ้นมาได้จากที่ของมัน

แทนการขึ้นเขาหาเห็ดอีกต่อไป แม่ของเขาพาเขากลับบ้าน “เราจะกลับบ้านไปฉลองความสำเร็จของลูกกัน”

ทั้งคู่เดินลงเขาอย่างเงียบๆ ชินจิได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้นด้วยความระทึก เขาทำสำเร็จแล้ว เขาได้พิสูจน์ให้แม่ของเขาเห็นว่าเขาจะเป็นนักหาเห็ดมัสซึตาเกะที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร

เมื่อกลับถึงบ้าน แม่ของเขาจุดไฟติดเตาถ่าน “สิ่งแรกที่ลูกต้องรู้” แม่ของเขากล่าว “ห้ามใช้วัตถุใดๆ กับเห็ดมัสซึตาเกะเป็นอันขาด แม้แต่มีดก็ห้ามใช้ เราจะใช้แต่มือของเราเท่านั้นเอง ทุกอย่างในโลกจะทำลายรสชาติของมัสซึตาเกะทั้งสิ้น” เมื่อไฟจากถ่านระอุแล้ว แม่ของเขาก็ย่างเห็ดมัสซึตาเกะที่เขาเก็บมาได้จนหอม หลังจากนั้นแม่ของเขาก็ฉีกเห็ดมัสซึตาเกะเป็นชิ้นเล็กก่อนจะบีบน้ำมะนาวใส่ รสชาติของเห็ดมัสซึตาเกะที่เขาได้กินวันนั้นเป็นรสชาติที่ไม่มีวันลืมเลือน

ชินจิ นากามูระ ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เขาเดินขึ้นเขาไปช้าๆ และขณะนั้นเองที่เขารู้สึกว่ารสชาติของเห็ดมัสซึตาเกะเป็นรสชาติที่เขาหาไม่ได้จากอาหารชนิดใด มันเป็นรสพิเศษ

เป็นรสพิเศษที่เขาจะอดสงสัยไม่ได้ว่ามันคือรสชาติใดกันแน่ในโลกนี้