วงค์ ตาวัน | การกลับมาของอันธพาลการเมือง

วงค์ ตาวัน

เหตุการณ์ม็อบจัดตั้งฝ่ายรัฐปะทะกับม็อบราษฎรซึ่งเป็นนักเรียน-นักศึกษาคนรุ่นใหม่ เริ่มมีมากขึ้น และเริ่มใช้ความรุนแรงมากขึ้น เกิดการตะลุมบอนด้วยกำลัง ด้วยไม้ ขวด ก้อนอิฐก้อนหิน แล้วยังเพิ่มขีดความรุนแรงด้วยการใช้อาวุธปืน จนทำให้ฝ่ายคณะราษฎรได้รับบาดเจ็บไปหลายราย ในเหตุวุ่นวายที่บริเวณแยกเกียกกาย เพื่อสกัดกั้นฝ่ายคนรุ่นใหม่ที่เคลื่อนม็อบเข้าไปยังพื้นที่หน้ารัฐสภา

เห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ทำให้นึกถึงปฏิบัติการที่ฝ่ายรัฐใช้มาตลอด ในช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516

จัดตั้งเด็กอาชีวะสร้างกลุ่มกระทิงแดง เพื่อออกมาก่อกวนขบวนการนักศึกษา-ประชาชนในยุคนั้น โดยเน้นใช้ความรุนแรง เข้าปะทะต่อยตี ยิงปืนใส่ ปาระเบิดใส่

ด้วยพฤติกรรมใช้ความรุนแรงของม็อบจัดตั้งฝ่ายรัฐดังกล่าว จึงเรียกกันว่าเป็นกลุ่มอันธพาลทางการเมือง!!

เป้าหมายคือ ทำให้เกิดภาพความรุนแรงจากการเคลื่อนไหวของขบวนการนักศึกษา-ประชาชน เพื่อให้สังคมรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากให้เกิดการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ว่าจากฝ่ายไหน

ไปจนถึงหวังสร้างความหวาดกลัวให้กับฝ่ายนักเรียน-นักศึกษา ซึ่งโดยพื้นฐานจะเป็นปัญญาชน ใช้สติปัญญามากกว่าความรุนแรง เป็นพวกเด็กเรียนมากกว่าจะเป็นเด็กเกเร

โดยนับจากขบวนการนักเรียน-นิสิต-นักศึกษา ลุกขึ้นมาล้มรัฐบาลถนอม-ประภาส ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จากนั้นองค์กรของนักศึกษา คือ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้กลายเป็นแกนนำร่วมกับประชาชน เคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเป็นธรรมความถูกต้องในสังคม ในแทบทุกปัญหา

จนทำให้ขบวนการนักศึกษา-ประชาชน มีพลังอย่างสูงมาก ตลอดช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 ทำให้ฝ่ายรัฐต้องดิ้นรน เพื่อหยุดยั้งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ให้ได้

สูตรแรกคือตั้งกลุ่มอันธพาลการเมืองมาก่อกวน ก่อความรุนแรงคุกคามฝ่ายนักศึกษา-ประชาชน จากนั้นยังไปถึงขั้นมีขบวนการล่าสังหาร ที่เรียกกันว่าปฏิบัติการขวาพิฆาตซ้าย ทำให้ผู้นำนักศึกษาในยุคนั้นหลายราย ถูกลอบฆ่าเสียชีวิต

ทั้งกลุ่มอันธพาล และขบวนการขวาพิฆาตซ้าย ที่ลงมืออย่างหนักหน่วง ในช่วงปี 2517-2519 จนกระทั่งพิฆาตอย่างรุนแรงที่สุดคือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

ด้วยสูตรใช้ม็อบชนม็อบ จัดตั้งม็อบฝ่ายรัฐแล้วใช้ความรุนแรง กระทำอย่างเข้มข้น ในช่วงหลัง 14 ตุลาฯ

จนกระทั่งขบวนการนักเรียน-นักศึกษาฟื้นกลับมาอย่างใหญ่โตในวันนี้ สูตรเดิมๆ จากฝ่ายรัฐก็ได้งัดกลับมาใช้อีกครั้ง!

กลุ่มกระทิงแดง หรืออันธพาลทางการเมืองในอดีต จัดตั้งโดย พล.ต.สุตสาย หัสดิน นายทหาร กอ.รมน. ด้วยหลักคิดของปฏิบัติการด้านมวลชน คือ แยกสลายพลังนักเรียนอาชีวะ ออกจากพลังนักศึกษาปัญญาชน ปลุกเอาความเป็นอาชีวะที่ถูกครอบด้วยพฤติกรรมการยกพวกตีกัน ขึ้นมาใช้เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับฝ่ายรัฐ

เอานักเรียนสายบู๊ๆ มาปะทะกับฝ่ายนักศึกษาปัญญาชน

แกนนำกระทิงแดงคนสำคัญ ก็คือ นายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ นายสมศักดิ์ ขวัญมงคล นายสุชาติ ประไพหอม

โดยเฉพาะนายเฉลิมชัย มัจฉากล่ำ ในภายหลังได้ติดยศทหาร เติบโตขึ้นมาในเส้นทางทหารมาเฟีย จนรู้จักกันดีในนามผู้พันตึ๋ง ซึ่งยุคหลังโดนคดีอาชญากรรมร้ายแรงหลายคดี

กระทิงแดงจัดตั้งขึ้นมาในปี 2517 เมื่อฝ่ายรัฐพบว่า ขบวนการนักศึกษา โดยศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย กลายเป็นพลังที่เติบโตในสังคมไทย นำกรรมกรลุกขึ้นมาต่อสู้ด้านค่าแรง และจัดตั้งสหภาพแรงงานอย่างกว้างขวาง นำชาวนาชาวไร่ ลุกขึ้นมาก่อตั้งเป็นสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย ต่อสู้ด้านราคาข้าว ยกระดับชีวิตเกษตรกรทั่วประเทศ

ยุคนั้นเกิดม็อบจัดตั้งขึ้นมาต่อต้านศูนย์นิสิตนักศึกษาหลายกลุ่ม เช่น นวพล ประสานการโฆษณาชวนเชื่อผ่านชมรมวิทยุเสรี

โดยมีกลุ่มกระทิงแดงที่เน้นด้านใช้กำลังความรุนแรง จนเกิดการปะทะกับการ์ดของฝ่ายศูนย์นิสิตนักศึกษาบ่อยๆ โดยมีนักเรียนอาชีวะที่มาร่วมมือกับฝ่ายนักศึกษา เช่น ช่างกลพระราม 6 นักศึกษาสายบู๊ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ชมรมมวย ชมรมนักศึกษาใต้

แต่ก็พบว่า ฝ่ายกระทิงแดงมีการใช้ปืนใช้ระเบิดบ่อยๆ แต่ไม่เคยถูกจับกุมดำเนินคดีเลย ส่วนฝ่ายการ์ด ฝ่ายอาชีวะที่ร่วมกับศูนย์นิสิตนักศึกษา ต้องคอยระมัดระวังตัว ปกป้องมวลชนด้วยมือเปล่า เนื่องจากไม่สามารถพกอาวุธได้ เพราะโดนจ้องจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ อีกทั้งหลักการต่อสู้ของนักศึกษาแบบปัญญชาชน นั่นคือ เน้นข้อมูล เน้นความคิด และสันติวิธี

จริงๆ แล้ว ภาพขบวนการอันธพาลการเมืองในช่วงปี 2517-2519

สามารถนำมาเทียบกับภาพที่มองเห็นในวันนี้ เมื่อคณะราษฎร 2563 หรือนักเรียน-นักศึกษายุคใหม่ ได้ก่อเกิดขึ้น และเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องมากด้วยพลัง

แล้วต้องพบกับขบวนการม็อบจัดตั้ง ที่ออกมาต่อต้าน ไปจนถึงม็อบอันธพาล ที่เริ่มใช้กำลังคุกคามก่อกวนฝ่ายคณะราษฎร จนล่าสุดเกิดการปะทะกันและมีการใช้อาวุธปืนยิงใส่

เหมือนกระทิงแดงในอดีตนั่นเอง

หลักการต่อสู้ของนักเรียน-นักศึกษาก็คือ นำเอาความคิด นำเอาข้อมูลข้อเท็จจริงขึ้นมาแสดงต่อสาธารณะ เพื่อให้เห็นว่าสังคมไทยต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เพื่อให้การเมืองไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นประชาธิปไตยเสรี ซึ่งจะเปิดกว้างให้คนเก่งๆ คนมีความสามารถ คนรุ่นใหม่วิสัยทัศน์กว้างไกล เข้ามาร่วมบริหารบ้านเมือง

สร้างการเมืองที่ดี แล้วเศรษฐกิจจะดีตามมา ยกระดับชีวิตประชาชน และสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับสังคมไทย

จะต้องเป็นความคิดที่แหลมคม ข้อมูลข้อเท็จจริงที่หนักแน่น เพราะจะต้องเปิดให้ประชาชนวงกว้างได้เห็นว่า สภาพการเมืองไทยเวลานี้ ถูกผูกขาดทำให้ทุกอย่างล้าหลังไปหมด

เป็นการต่อสู้ด้วยความจริง ด้วยสติปัญญา

ขณะที่ฝ่ายรัฐ ยากจะตอบโต้ด้วยข้อเท็จจริง ได้แต่อ้างว่า การเมืองไทยจำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ ต้องมีรัฐบาลชุดนี้จึงจะสร้างความสงบความมั่นคงได้

อันเป็นเหตุผลที่ยากจะรับฟังได้ เมื่อเทียบกับข้อมูลข้อเท็จจริงจากฝ่ายคนรุ่นใหม่

เมื่อสู้ด้วยปัญญาไม่ได้ ก็ต้องจัดตั้งม็อบออกมาแสดงพลังเพื่อสนับสนุนรัฐบาล แต่ก็เป็นพลังที่มาแบบจัดตั้ง ไม่ได้มาด้วยความคิดความตื่นตัวทางการเมืองที่แท้จริง อีกทั้งเมื่อเถียงด้วยเหตุผลไม่ได้ ก็ใช้ม็อบแนวอันธพาลการเมืองมาก่อกวนคุกคามทำร้าย

เป้าหมายของม็อบอันธพาลที่สำคัญคือ ทำให้เกิดการปะทะกัน ทำให้เกิดภาพม็อบชนม็อบ เพื่อจะนำไปสู่การทำลายล้างด้วยกฎหมาย กระทั่งอาจจะใช้วิธีรัฐประหารก็ได้

ความที่นักเรียน-นักศึกษายุคนี้ เน้นหลักสันติวิธีเป็นสำคัญ เป็นประเด็นสำคัญ ทำให้การใช้ความรุนแรงจากรัฐ กลายเป็นกระแสตีกลับมาตลอด

เช่น การสลายม็อบที่แยกปทุมวันเมื่อ 16 ตุลาคม ซึ่งทำให้ฝ่ายรัฐเสียหายทางการเมือง เพราะเป็นการฉีดน้ำแรงดันสูงใส่นักเรียนนักศึกษาที่มีแต่สองมือเปล่ากับสามนิ้ว หรือการใช้รถฉีดน้ำ สกัดไม่ให้เข้าพื้นที่รัฐสภา ในระหว่างการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

จะว่าไปแล้ว สูตรม็อบจัดตั้งที่นำมาใช้วันนี้ ก็ดูจะไม่ได้ผลดีสักเท่าไรกับฝ่ายรัฐ เพราะต่างกันอย่างมากในด้านคุณภาพ ความคิด เมื่อเทียบกับฝ่ายคณะราษฎร และสูตรอันธพาลการเมือง ก็อาจจะไม่ได้ผลดีพอ เพราะเยาวชนคนรุ่นใหม่เน้นสันติวิธี สองมือเปล่าแท้จริง

ไปจนถึงเป็นยุคสื่อโซเชียลซึ่งเป็นเครื่องมือสื่อสารที่คนรุ่นใหม่เชี่ยวชำนาญ สามารถแพร่ภาพความเคลื่อนไหวได้สดๆ ตลอดเวลา ทำให้การใช้กำลังและความรุนแรงจึงถูกเปิดโปงตอบโต้ด้วยภาพเสียงและความจริง

เป็นการต่อสู้ในโลกยุคใหม่ ที่สภาพเปลี่ยนแปลงไปจากยุคหลัง 14 ตุลาคมอย่างมาก จนยากที่รัฐจะใช้สูตรเดิมๆ ได้อีกแล้ว!