สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร / ซ่อนในผ้าคลุม

สถานีคิดเลขที่ 12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

—————————

ซ่อนในผ้าคลุม

—————————-

แม้ “ความฝัน”ของ มวลชนคณะราษฏร

โดยเฉพาะการได้เห็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน เข้าไปสู่กระบวนการพิจารณาภายใต้อำนาจนิติบัญญัติ

จะไปได้ไกลสุดแค่ปราฏเป็นข้อความบน”ผ้าขาว”ที่นำไปห่อหุ้ม อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ก็ตาม

แต่ก็ไม่ควรสิ้นหวัง

หรือนำไปสู่ความไม่พอใจระดับปรอทแตก

กระจาย ความเกลียดชัง ต่อฝ่ายอื่นไปทั่ว

นั่นอาจจะไปตกหลุมที่เขาขุดล่อไว้ นั่นคือเกิดภาวะมิคสัญญี

แล้วจะมีผู้ฉวยโอกาส กระทำในสิ่งที่อยากทำ

เช่นชิงทุบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยทิ้ง ด้วยการยึดอำนาจ รัฐประหาร เป็นต้น

ซึ่งตอนนี้ ต้องยอมรับว่า ปัจจัยและเงื่อนไข ที่เอื้อให้เกิดมีมาก

อย่างเหตุร้ายที่หน้ารัฐสภา ที่กลายเป็นการปะทะของมวลชนกับมวลชน นำไปสู่การบาดเจ็บกว่า 50 คน

ยังโชคดีบ้างที่ยังไม่มีการสังเวยชีวิต

แต่ โอกาส ที่จะเกิดมีมากเหลือเกิน

เพราะเริ่มเห็นสัญญาณ การจัดตั้งที่จุดมุ่งหมายจะให้เกิดเหตุร้าย และการปะทะ

ทั้งต่อมวลชนโดยตรง หรือรวมกระทั่ง แนวร่วม เช่นกรณี การเลือกตั้งท้องถิ่น ที่มีกลุ่มคนเที่ยวตามขับไล่ หรือฝ่ายที่มีจุดยืนหนุนมวลชนคณะราษฏร

ปรากฏการณ์นี้ขยายตัวออกไปเรื่อยๆและพร้อมจะนำไปสู่ความรุนแรงทุกรูปแบบ

เหตุการณ์เช่นนี้ เคยเกิดมาแล้ว ไม่ใช่ไม่เคยเกิด

ใน”มติชนสุดสัปดาห์”ฉบับวางแผงตอนนี้

“มุกดา สุวรรณชาติ” เจ้าของคอลัมน์ “หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว” ฟื้น”ตัวอย่างที่เลว”ใน ปี 2519 มาให้เราเรียนรู้

อย่างที่ทราบ หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

อุดมการณ์สังคมนิยมกลายเป็นกระแสสูง

ทำให้เกิดกลุ่มบุคคลมากกว่าหนึ่งกลุ่ม ก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นเพื่อต่อสู้ในแนวทางรัฐสภา

ทั้งพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย พรรคแนวร่วมสังคมนิยม และพรรคพลังใหม่

ในการเลือกตั้งครั้งแรก หลัง 14 ตุลาฯคือวันที่ 26 มกราคม 2518

พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยได้ 15 ที่นั่ง เมื่อรวมกับ ส.ส.พรรคแนวร่วมสังคมนิยม 10 ที่นั่ง และพรรคพลังใหม่อีก 12 ที่นั่ง รวมเป็น 37 ที่นั่ง

นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่แนวคิดสังคมนิยมได้รับการสนับสนุนอย่างอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ

สร้างความหวาดหวั่นให้ฝ่ายอำนาจเก่าเป็นอย่างยิ่ง

พรรคการเมืองแนวสังคมนิยม จึงเริ่มถูกข่มขู่คุกคามรุนแรงขึ้นตามลำดับ

ทั้งการใส่ร้ายป้ายสีและทั้งการโจมตีด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก

จนอดีต ส.ส.พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นระดับบริหารคือนายไขแสง สุกใส รองประธานพรรค นายบุญเย็น วอทอง นายชิต เวชประสิทธิ์ กรรมการกลางพรรค และ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรค ประกาศไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 4 เมษายน 2519

แต่กระนั้นไม่อาจหยุดกระแสร้ายได้

ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ถูกลอบทำร้าย ลอบสังหาร ถึง 18 ราย

มีการปล่อยข่าวทุกรูปแบบว่ารับเงินจากโซเวียตรัสเซียและจีน

ฝ่ายขวาชูคำขวัญว่า สังคมนิยมทุกชนิด คือคอมมิวนิสต์

เหตุรุนแรง ที่สะเทือนใจที่สุดก็คือ การลอบสังหารดร.บุญสนอง ในวัยเพียง 39 ปี

ปฏิกิริยาจากข่าวการสังหาร ดร.บุญสนอง เป็นข่าวดังไปทั่วโลก

แต่การโจมตียังดำเนินต่อไป และได้ผล

การเลือกตั้ง 4 เมษายน 2519 ส.ส.ฝ่ายก้าวหน้า 3 พรรค เดิมมี 37 คน เหลือเพียง 6 คน

จากนั้นก็มีการปลุกระดมให้คนบ้าคลั่งอย่างหนักจนสามารถก่อให้เกิดความรุนแรงได้ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519

นั่นคือตัวอย่างเลว ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น

แต่สถานการณ์ตอนนี้สิ่งที่ซุกในผ้าคลุม ดูแล้วหวั่นใจเหลือเกิน