เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์ / โจ ไบเดน

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ/วัชระ แวววุฒินันท์

โจ ไบเดน

ขอร่วมวงไพบูลย์กับสื่อทั่วโลกที่เชื่อได้ว่าต้องพากันเขียนถึง พูดถึงผู้ชายคนนี้ที่ชื่อ “โจ ไบเดน” ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ด้วยการเขียนถึงเขาคนนี้ด้วยคน
ปกติมหาอำนาจอย่างอเมริกา ที่หลังๆ อำนาจชักเริ่มเสื่อมถอยลง เวลาขยับตัวแต่ละทีก็มักถูกจับตามองจากทั้งโลกอยู่แล้ว สำหรับการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศครั้งนี้ก็ยิ่งทวีความน่าสนใจให้จับตามองมากขึ้น
เพราะเป็นการแข่งขันกันระหว่างทรัมป์คนเก่าจากรีพับลิกัน กับไบเดนคนใหม่ (ที่มาจากเหล้าในขวดเก่า) จากเดโมแครต
4 ปีจากการเป็นผู้นำของทรัมป์ได้สร้างหลากรสชาติให้กับโลกมากมาย ทั้งด้วยนโยบายที่ทำให้เขาชนะการเลือกตั้งเมื่อคราวที่แล้วคือ “America First” ที่อะไรๆ ทำเพื่อผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นหลักจนปั่นป่วนไปทั่วโลก
เพราะยังไงโลกใบนี้ก็ต้องอยู่ร่วมกัน จะมา First คนเดียว แล้วกระทืบคนอื่นก็คงลำบาก
และด้วยบุคลิกท่าทีแบบ “จิ๊กโก๋ไม่มีมรรยาท” ของทรัมป์ ทำให้หลายคนออกอาการ “เหวอ” มานักต่อนักแล้ว
มรรยาทของการเป็นผู้นำประเทศ มรรยาทของการเมืองระหว่างประเทศ หรือแม้แต่มรรยาทของการเป็น “ผู้ชาย” คนหนึ่งของทรัมป์ เป็นที่พูดถึงมาโดยตลอด
บางคนบอกว่า ทรัมป์เหมือนเด็กผู้ชายเกเร เอาแต่ใจตัวเอง
ที่สำคัญคือ เป็นเด็กช่างโกหก เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น
จะเห็นได้จากอาการ “ไม่ยอมแพ้” ของเขาในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ตีโพยตีพาย และเรียกร้องต่างๆ นานาจนระอากันทั้งเมือง

ไหนว่าจะเขียนถึง “โจ ไบเดน” แต่ไพล่ไปพูดถึง “ทรัมป์” เสียหลายบรรทัด
เพราะต้องบอกว่า หากไม่ใช่ทรัมป์แบบที่เขาเป็นอย่างนี้ เผลอๆ โจ ไบเดน อาจจะไม่ได้ก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นด้วยคะแนนเสียงที่ไม่ได้มากมายเท่านี้ อันเป็นประวัติการณ์ของการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา
โจ ไบเดน มีชื่อเต็มๆ ว่า “โจเซฟ โรบิเน็ต ไบเดน จูเนียร์”
ตระกูลของเขามีพื้นเพมาจากประเทศไอร์แลนด์ หรือเป็นชาวไอริชนั่นเอง ตอนที่เขาได้เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรีของไอร์แลนด์ยังกล่าวแสดงความยินดีโดยพูดด้วยว่า เป็นความภาคภูมิใจของชาวไอริช
เรื่องราวในชีวิตของเขามีความน่าสนใจอยู่หลายประเด็น หากเป็นนิยายสักเล่มก็จัดได้ว่าเป็นนิยายที่อ่านสนุกเล่มหนึ่ง ค่าที่พลิกผันในชีวิตไปมา
ชีวิตวัยเด็กของเขา เริ่มต้นแบบติดลบ จากการล้มละลายของพ่อ จนต้องย้ายตัวเองจากเมือง Scranton รัฐเพนซิลเวเนียมาอยู่ที่ Delaware
โจวัยเด็กต้องทำงานหนักเพื่อช่วยครอบครัว
เขาเป็นคนที่สามารถใช้คำว่า “ไอ้แหย” ได้เต็มปาก ด้วยบุคลิกที่เงียบๆ ติ๋มๆ ทำให้ถูกรังแก ถูกบูลลี่จากการพูด “ติดอ่าง” ของเขา ที่เชื่อว่าอาจเกิดจากความบกพร่องของชีวิตในวัยเด็ก
เขาพยายามแก้ไขตัวเองด้วยการฝึกพูดและบริหารกล้ามเนื้อส่วนปากที่หน้ากระจกทุกวัน จนกระทั่งหายจากการติดอ่างได้
นี่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า “เขาเป็นคนแน่วแน่ ตั้งใจ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ”
และสิ่งหนึ่งที่สะท้อนได้อย่างชัดเจนก็คือ ในวันที่เขาประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการที่เมือง Delaware เมื่อคะแนนนำจนชนะคู่แข่งเป็นที่ชัดเจนแล้ว
เขาสามารถสปีชในฐานะผู้นำคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาได้อย่างยอดเยี่ยม
ทั้งน้ำเสียง ทั้งจังหวะการพูด และที่สำคัญ “สาร” ที่เขาสื่อออกไปถึงผู้ฟัง ที่ไม่ใช่เฉพาะคนที่สนับสนุนเขา แต่กับคนอเมริกันทั้งประเทศนั้น คมคาย จับใจ และเป็นสุภาพบรุษจริงๆ
“ผมจะทำหน้าที่สำหรับคนที่ไม่โหวตให้ผม เท่ากับคนที่โหวตให้ผม เรียกว่าหน้าที่แห่งความใส่ใจสำหรับชาวอเมริกันทุกคน”
เป็นสปีชที่สร้างความปรองดองตั้งแต่เริ่มต้น
ผมว่าอเมริกาอาจจะ First จะ Great Again ก็ได้ แต่ต้อง Great แบบไม่แตกแยกทั้งจากในประเทศและกับสังคมโลก หากไบเดนทำให้มันเป็นจริงได้ จะสร้างความสงบให้กับโลกใบนี้ได้อย่างดี
ย้อนมาที่เขาในอดีตกันต่อ

ไบเดนเข้าเรียนวิชากฎหมายเพื่อเป็นทนายความ อันจะเป็นพื้นฐานให้เขาได้เข้าสู่การเมือง และตั้งปณิธานว่า “วันหนึ่งจะเป็นประธานาธิบดี”
การที่คนคนหนึ่งกล้าคิดว่าจะเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ได้หมายความว่าคิดได้ แล้วจะทำได้
เขาก้าวสู่แวดวงการเมืองจากการเป็นสมาชิกสภาเขต ซึ่งเป็นการเมืองท้องถิ่น ก่อนจะก้าวต่อสู่ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.
เหมือนกำลังจะไปด้วยดี แต่ได้เกิดความท้าทายใหม่ในชีวิตเขา ในปี 1972 ไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่ไบเดนได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาครั้งแรก เขาได้รับข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ภรรยาและลูกของเขาสามคนโดยสารอยู่
ผลคือ ภรรยาและลูกสาวคนเล็กอายุ 1 ขวบของเขาเสียชีวิต เหลือเพียงลูกชายที่ยังเล็กสองคนอายุ 3 และ 2 ขวบ ที่ได้รับบาดเจ็บ
เขาแทบจะละทิ้งความฝัน แต่โชคชะตากำหนดให้เขาเดินหน้าต่อ
วันที่เขาได้รับตำแหน่งและทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งวุฒิสมาชิก เขาต้องทำพิธีอยู่ข้างๆ เตียงนอนที่ลูกชายของเขานอนรักษาตัวอยู่
ไบเดนต้องแบกรับหน้าที่ใหม่คือ ส.ว. และการเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวไปพร้อมๆ กัน
ทุกวันเขาจะนั่งรถไฟจากบ้านที่ Delaware เพื่อมาทำงานเป็นเวลาสองชั่วโมง และนั่งกลับอีกสองชั่วโมงเพื่อดูแลลูกสองคนของเขา จนเขาได้รับฉายาว่า “โจ แอมแทร็ก” อันเป็นชื่อของขบวนรถไฟที่นั่ง

เขาดำรงตำแหน่ง ส.ว.ของรัฐ Delaware เป็นเวลา 36 ปี โดยมีผลงานด้านกฎหมายที่เป็นประโยชน์ออกมาหลายชิ้น
เมื่อปี 2008 ไบเดนก็คิดว่า เขาควรจะทำตามความฝันของเขาได้แล้ว โดยการประกาศตัวลงสมัครเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งจากประสบการณ์อันคร่ำหวอดของเขาก็น่าจะไม่มีอุปสรรคอันใด
หากจะไม่ใช่คู่แข่งของเขาในพรรคคือ “บารัค โอบามา” เขาคงได้รับเลือกจากพรรคให้เป็นตัวแทนแล้วก็ได้
แต่ผู้ว่าการรัฐที่สด หนุ่ม และมีการสะท้อนความหลากหลายเชื้อชาติที่เป็นประเด็นรุนแรงและคุกรุ่นอยู่ในเวลานั้นของโอบามา ก็ทำให้ความฝันของเขาดับลง
จากการหยั่งเสียงของสมาชิกและผู้สนับสนุนพรรค เขาจึงประกาศถอนตัวลงสมัคร
นั่นคือการสลัดทิ้งความฝันของเขาแต่วัยเยาว์ที่เขามุ่งมั่นมาโดยตลอด
อย่างไรก็ดี โอบามาไว้ใจเขาให้เขามาเป็นรองประธานาธบดี คนข้างกายในการทำงานของเขาใน 2 สมัยที่อยู่ในตำแหน่ง
บททดสอบใหม่ของไบเดนคือ การที่ลูกชายคนโต “โบ ไบเดน” ที่ตามเข้ามาในวงการเมืองเช่นเดียวกับเขาได้เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง นั่นทำให้เขาโศกเศร้ามาก แม้ว่าจะมีภรรยาคนใหม่และลูกสาวที่เกิดจากภรรยาใหม่ และลูกชายจากภรรยาเดิมอีกคนอยู่เคียงข้างก็ตาม
จาก 8 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เขาคิดว่าพอแล้วกับเส้นทางทางการเมือง แต่หากไม่ใช่ทรัมป์ เขาอาจจะไม่คิดกลับมาตามหาความฝันของเขาอีกก็ได้
แต่ 4 ปีของทรัมป์ ทำให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง และนั่นทำให้เขาโดดรับความกดดันมากมายในการสมัครลงเลือกตั้งอีกหน
จนกระทั่งเขาทำสำเร็จ ได้ดำรงตำแหน่งว่าที่ประธานาธิบดีตามที่ตั้งใจไว้

โลกไม่รู้หรอกว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้าภายใต้การนำของประธานาธิบดีที่ชื่อโจ ไบเดน ผลจะออกมาอย่างไร
แต่ในฐานะความเป็นคน และเป็นผู้ชายคนหนึ่งของเขา โลกก็ไม่เพิกเฉยที่จะปรบมือและให้กำลังใจเขา ให้เขาเป็นหนึ่งของผู้นำโลกในฐานะประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาได้อย่างสวยงามและดีที่สุด
และนี่คือเขา “โจเซฟ โรบิเน็ต ไบเดน จูเนียร์”