ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มิถุนายน 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปชมนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยอันหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้งานอื่นที่เคยเขียนถึงไป
แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีจังหวะได้เขียนถึง
คราวนี้สบโอกาสเลยขอเขียนถึงเสียเลย
ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว เขียนช้ายังดีกว่าไม่เขียนเลยแหละนะ
นิทรรศการที่ว่านั้นมีชื่อว่า นิรภูมิ (Notopia) ซึ่งเป็นการแสดงผลงานคู่ระหว่าง เรืองศักดิ์ อนุวัตรวิมล กับ นรเศรษฐ์ ไวศยกุล
สองศิลปินร่วมสมัยชาวไทยที่เคยแสดงงานในระดับนานาชาติมาแล้ว
โดยเรืองศักดิ์นั้นเป็นศิลปินที่ทำงานศิลปะที่คาบเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
โดยเฉพาะสาขาชีววิทยาและสิ่งแวดล้อม
เขาเป็นที่รู้จักจากผลงานที่ใช้ขี้เถ้าจากสิ่งมีชีวิตต่างๆ มาหล่อเป็นรูปทรงอวัยวะของมนุษย์อย่างหัวใจ
ส่วนนรเศรษฐ์ เป็นศิลปินที่มีความโดดเด่นในการทำงานศิลปะที่ใช้สื่อสมัยใหม่อย่างมัลติมีเดียและระบบวิศวกรรมอันสลับซับซ้อนในการถ่ายทอดประสบการณ์ภายในของตัวเอง
เพื่อกระตุ้นเร้าและเล่นสนุกกับปฏิกิริยาของผู้ชมงาน
โดยครั้งนี้ทั้งสองร่วมกันทำงานโดยเริ่มต้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์” ซึ่งมีหลายหลากรูปแบบ
ทั้งความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกันอย่างเรื่องการใช้ชีวิตคู่ ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งรอบตัวอย่างสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัวและส่วนรวม
ผลงานชุดนี้จัดแสดงขึ้นที่แกลเลอรี่เว่อร์เจ้าเก่าที่เคยเขียนถึงไปในหลายตอนที่แล้ว

ผลงานของนรเศรษฐ์เป็นประติมากรรมสื่อผสม/จัดวางในรูปแบบของห้องขนาดใหญ่
ภายนอกเป็นโครงสร้างไม้ตารางกรุกระจก ที่สะท้อนภาพของสภาพแวดล้อมภายนอกจนสร้างมิติอันน่าพิศวงให้กับตัวงาน
ภายในห้องมืดทึบที่จำลองมาจากห้องนอน มีเตียงวางอยู่กึ่งกลางห้อง บนเตียงมีผ้าคลุมรูปทรงที่ดูเหมือนร่างของมนุษย์คู่หนึ่งนอนกอดก่ายกันอยู่ ซึ่งเป็นการจำลองมาจากร่างกายของนรเศรษฐ์และคู่รักของเขา
ภายในห้องมีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ที่จะตอบสนองกับจำนวนของผู้เข้าชมที่เข้าไปในห้อง โดยจะฉายภาพของกลุ่มคำเรืองแสงที่เป็นสื่อแทนความรู้สึกต่อรูปแบบความสัมพันธ์ต่างๆ ออกมา
“งานที่ผมทำผมมักจะคิดถึงเรื่องส่วนตัวเป็นหลัก หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับปัญหาของตัวเองที่มีกับคนอื่นรอบๆ ตัว หรือการที่เราเองก็สร้างปัญหาให้คนอื่น เรามีความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวกับคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา มันก็เลยทำให้เราแสดงออกแบบผิดเพี้ยนไป ด้วยการใช้ชีวิตที่ผ่านมา”
“เรารู้สึกว่าเราเป็นคนที่มีผลกระทบจากชีวิตคู่เยอะ เราก็เลยอยากจะทำงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรากับคนคนหนึ่งโดยเฉพาะ มันเป็นการท้าทายอย่างนึง มันเหมือนกับเรากำลังบอกคนอื่นว่า กูไม่เคยสนใจสิ่งรอบตัวอะไรหรอก กูแม่งมีปัญหากับแฟน กับคู่รัก มันเป็นภาวะภายในนั่นแหละ”
“งานของเราก่อนหน้านี้มันอาจเป็นการตีความทฤษฎีที่มันอาจจะส่งเสริมความคิดของเรา แต่ในงานชุดนี้เราอยากจะพูดเรื่องธรรมดาๆ ที่เราเจอ ณ ตอนนี้โดยไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมาก เรารักผู้หญิง แต่เราทะเลาะกับเขาทุกวัน ปัญหามันคืออะไร มันเกิดอะไรขึ้น”
“เราก็พยายามจะแปลสิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นเนื้อหาของงานศิลปะ ส่วนคนอื่นจะเอาไปคิดต่อว่ามันเป็นการสะท้อนถึงปัญหาสังคม ปัญหาทางจิตวิทยาอะไรต่างๆ อันนี้ผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนดู ตัวผมแค่อยากจะพูดกับคนรักว่าผมแม่งไม่ไหวแล้วนะ กับคุณเนี่ย แต่สุดท้ายถ้าผมอยากอยู่กับคุณ ผมต้องทำยังไง?”
“กระบวนการตรงนี้คือความสัมพันธ์ที่ผมอยากจะบอก มันเป็นงานศิลปะที่ไม่มีบทสรุป ผมกับแฟนทะเลาะกัน เลิกกันไป คืนดีกันในขณะที่ทำงานนี้ด้วย ตอนนี้ก็ยังอยู่ด้วยกันนะ ผมรู้สึกว่าเมื่อเรื่องส่วนตัวมันรวน มันก็ทำให้ชีวิตมันรวนไปด้วย”
“เราก็สงสัยว่าคนอื่นใช้ชีวิตยังไงถึงได้ราบรื่น หรืออันที่จริงแล้วมันราบรื่นจริงหรือเปล่า?”
นรเศรษฐ์กล่าวถึงผลงานของเขา

ในขณะที่ผลงานของนรเศรษฐ์เป็นการนำเสนอความสัมพันธ์ภายในที่ส่งผลลัพธ์ปรากฏออกมาสู่ภายนอก
ผลงานของเรืองศักดิ์กลับเป็นการพูดถึงความสัมพันธ์ของตัวเขาเองและคนรอบข้างกับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่ส่งผลกระทบถึงภายใน
โดยผลงานของเขาเป็นชิ้นส่วนอันกระจัดกระจายของสิ่งละอันพันละน้อยจากสถานที่ต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนของอวัยวะสัตว์หายากที่ใช้เป็นยา
เหล่าโบรชัวร์สินค้าอุปโภคบริโภคจากทั่วโลก
อาหารเก่าเก็บที่เขาขอบริจาคจากเพื่อนมาแช่ไว้ในตู้เย็น
ดีวีดีหนังสารคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมบนหิ้ง
ขวดพลาสติกเปื้อนคราบน้ำมันดิบที่รั่วไหลลงทะเล
น้ำที่เก็บมาจากคราวน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554
หรือเศษกระจกจากห้างเซ็นทรัลเวิลด์ที่ถูกไฟไหม้ในวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปี 2553
หรือแม้แต่ดินปนเปื้อนสารกัมมันตภาพรังสีจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในเมืองฟูคุชิมา
ซึ่งมองเผินๆ อาจดูสะเปะสะปะไม่ต่างกับของสะสมของนักสะสมสติเฟื่อง
แต่หากมองลงไปให้ลึกเราก็จะเห็นถึงจุดร่วมและความหมายแฝงเร้นของมัน
โดยกุญแจสำคัญนั้นอยู่ที่ภาพผลงานจิตรกรรม The Garden of Earthly Delights (1503-1515) ของ เฮียโรนิมัส บอช (Hieronymus Bosch) ที่เขาทำจำลอง (ในแบบที่ยังวาดไม่เสร็จ) ขึ้นมาติดตั้งในงาน ซึ่งเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นและบทสรุปของงานชุดนี้เลยก็ว่าได้

“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ของคนรอบตัวอย่างเพื่อนๆ มันคือสถานการณ์ที่ยากลำบาก ทุกข์ยาก ที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อม แน่นอนว่าบางส่วนมันเกิดขึ้นจากตัวเราเอง แต่อีกส่วนหนึ่งคือสิ่งที่เราไม่สามารถบังคับได้”
“อย่างตอนที่ผมไปอยู่ญี่ปุ่น เพื่อนผมที่อยู่ที่เมืองมินามิซูม่า ซึ่งอยู่ห่างจากโรงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูคุชิมาไดอิจิ 20 กิโลเมตร เขาไปตรวจร่างกายแล้วพบว่าตัวเองมีสารกัมมันตภาพรังสีอยู่ในเลือดสูงขนาดที่พร้อมจะตายได้เลย ซึ่งมันเกิดจากสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ เพราะคนที่อยู่ที่นั่นก็ต้องกินอาหารที่นั่น”
“ลองคิดดูว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่นยังควบคุมไม่ได้ แล้วประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างบ้านเราจะควบคุมมันได้ยังไง แน่นอน บ้านเราไม่มีอุบัติภัยอย่างแผ่นดินไหว สึนามิบ่อยเท่ากับเขา แต่อุบัติภัยของบ้านเราคือการคอร์รัปชั่น และความรู้ที่ไม่เพียงพอ เราไปหยิบยืมความรู้ของคนอื่นมา แล้วคาดหวังว่าในอนาคตมันจะมีความหวัง”
“เหมือนที่ออพเพนไฮเมอร์บอกกับโลกว่าอนาคตจะสดใสด้วยพลังนิวเคลียร์ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่คำตอบจริงๆ นั่นแหละ การที่เราจำลองภาพในอุดมคติของบอช นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดในผลงานแล้ว มันยังเป็นการแสดงให้เห็นว่า (ในจินตนาการของศิลปิน) โลกมันมีหน้าตายังไงเมื่อสมัย 600 ปีที่แล้ว เราก็นำเสนอภาพของอาหาร ยารักษาโรค การอยู่อาศัย มันเหมือนกับงานชิ้นก่อนหน้าที่เป็นขี้เถ้า ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นประเด็นเดียวกัน คือเรามองเรื่องการสูญเสีย สูญสลาย แล้วเราก็สร้างมันขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของอนุสรณ์วัตถุ (Monument)”
“อันนี้ก็เหมือนกัน คือเราไม่ยอมปล่อยวาง เราไม่ยอมปล่อยให้มันหายไป เราเก็บน้ำจากตอนน้ำท่วมใหญ่ เก็บกระจกแตกจากตอนไฟไหม้เซ็นทรัลเวิลด์ เก็บดินจากฟูคุชิมาเอาไว้”
“ส่วนภาชนะที่เก็บสิ่งต่างๆ เหล่านี้นอกจากจะเป็นการเก็บรักษาให้มันอยู่ได้นานที่สุดแล้วก็ยังมีการใส่ความหมายแฝงอยู่ด้วย”
“อย่างน้ำที่เก็บมาตอนน้ำท่วม ก็ใส่หลอดแก้วมีขนาด 69 ซ.ม. ซึ่งเท่ากับเวลา 69 ปีของน้ำท่วมกรุงเทพฯ ในปี 2403 เช่นเดียวกันกับหลอดที่ใส่ดินปนเปื้อนจากฟูคุชิมา ซึ่งมีความยาวอยู่ที่ 121.5 ซ.ม. ซึ่งเท่ากับ 40 ชะกุ เป็นหน่วยวัดความยาวของญี่ปุ่น และเท่ากับระยะเวลา 40 ปีตั้งแต่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูคุชิมาเริ่มเปิดจนปิดตัวลงไป”
เรืองศักดิ์กล่าวถึงผลงานของเขา

ศิลปินทั้งสองเปรียบเปรยว่า ถ้าเปรียบนิทรรศการนี้เป็นร่างกาย งานของนรเศรษฐ์ก็คงเป็นเหมือนสมองที่แสดงออกถึงสัญชาตญาณความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ออกมา ในขณะที่งานของเรืองศักดิ์เป็นเหมือนกับผิวหนังที่คอยตรวจจับเชื้อโรค สารพิษ หรือแม้แต่ข่าวสารต่างๆ เข้าไปในร่างกายนั่นเอง
อนึ่ง ชื่อ นิรภูมิ (Notopia) นั้น มีความเชื่อมโยงกับเรื่องราวยูโทเปีย (Utopia) หรือดินแดนในอุดมคติ
“แต่มันไม่ได้เป็นโลกอุดมคติแบบยูโทเปียซึ่งเราคาดหวังจะให้โลกเราเป็น เรามองว่าในโลกที่เราอยู่มันเป็นอย่างที่เราคาดหวังให้มันเป็นแบบนี้หรือเปล่า เราทุกคนอยากให้โลกนี้มันดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่สุดท้ายแล้วมันกลับกลายเป็นเละเทะขนาดนี้ แล้วเราจะแก้มันยังไง ถ้าแก้แล้วมันจะยิ่งเละไปกว่านี้ไหม?”
ศิลปินทั้งคู่กล่าวทิ้งท้ายด้วยคำถามที่ดูเหมือนจะไร้คำตอบ
ซึ่งคนดูอย่างเราคงต้องเป็นคนหาคำตอบกันเอาเองนั้นแหละนะ
น่าเสียดายที่กว่านิตยสารจะวางแผง นิทรรศการก็คงจะจบลงไปแล้ว ก็ได้แต่เล่าสู่กันฟังพอเพลินๆ เล็กๆ น้อยๆ พอเป็นกระษัยไปก็แล้วกัน
คราวหน้าสัญญาว่าจะเขียนให้เร็วกว่านี้นะขอรับ ท่านผู้อ่าน!