ศัลยา ประชาชาติ : หุ้นคึก ได้ปัจจัยบวก 2 เด้ง “ไบเดน” ชนะ-วัคซีนโควิดมาแล้ว หนุนความเชื่อมั่นระยะสั้นพุ่ง

บรรยากาศตลาดหุ้นไทยช่วงนี้กลับมาคึกคัก

หลังจากก่อนหน้านี้ดัชนีทรงๆ ทรุดๆ มาพักใหญ่

ข้อมูลของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ชี้ว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2563 ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลง 24.4% ย่ำแย่สุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากตลาดหุ้นสิงคโปร์ ที่ปรับตัวลง 24.8%

ทว่าหลังศึกการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเสร็จสิ้นและผลการนับคะแนนออกมาชัดเจน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับในทิศทางบวกต่อเนื่อง

โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ปิดบวกสูงถึง 41.88 จุด โดยปิดที่ 1,264.32 จุด เพิ่มขึ้น 3.43%

นำหน้าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นยุโรปเลยทีเดียว

ขณะที่ล่าสุดตลาดหุ้นทั่วโลกก็ได้รับปัจจัยบวกเพิ่มเข้ามาอีก จากประเด็นความร่วมมือระหว่างบริษัทไฟเซอร์ อิงก์ (สหรัฐ) กับ BioNTech (เยอรมนี) ที่มีการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีความคืบหน้าเชิงบวก

โดยมีการแถลงว่า วัคซีนที่พัฒนาขึ้นสามารถต้านไวรัสโควิด-19 ได้มีประสิทธิภาพสูงถึง 90% สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน

ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยวันที่ 10 พฤศจิกายน ปิดบวกเพิ่มขึ้นถึง 55.36 จุด อยู่ที่ 1,341.24 จุด

 

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า SET Index ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ กลับมีภาพรวมเป็นบวกมากขึ้น

โดยผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกฟื้นตัวกลับมา หลังนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะ จากความคาดหวังบรรยากาศสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่จะมีแนวโน้มดีขึ้น

“ความแน่นอนสำหรับตลาดทุนเป็นสิ่งสำคัญ พอผลการเลือกตั้งมีความชัดเจนก็เป็นผลบวกต่อตลาดทุน โดยในไทยนโยบายหนึ่งของไบเดนที่เข้ามาหนุน คือเขาค่อนข้างเปิดกว้างกับการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศมากขึ้น ท่าทีระหว่างสหรัฐกับจีนน่าจะผ่อนคลายลง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้บรรยากาศการค้าขายและการท่องเที่ยวดีขึ้นต่อไป” นายศรพลกล่าว

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า หลังจากมีความคืบหน้าเชิงบวกเรื่องวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดหุ้นดีดตัวค่อนข้างแรง โดยฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าตลาดหุ้นน่าจะตอบรับข่าวนี้ไปแล้วระดับหนึ่ง และทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้ายังต้องติดตามการนำวัคซีนมาใช้ในวงกว้างว่าทำได้เร็วแค่ไหน ซึ่งคาดว่าน่าจะประมาณครึ่งปีหลังของปี 2564

โดย บล.เอเซีย พลัส มองเป้าดัชนีปี 2564 ไว้ที่ 1,450 จุด บนสมมุติฐานการเริ่มนำวัคซีนมาใช้ได้ รวมถึงบรรยากาศตลาดหุ้นไทยน่าจะผ่อนคลายได้ดีกว่า จากนโยบายการค้าของนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ เมื่อเทียบกับนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการกีดกันทางการค้า

ซึ่งจะเป็นประเด็นบวกทำให้ภาพเศรษฐกิจฟื้นตัว

 

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2564 ขยายตัวที่ 4.1% อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นการเมืองในประเทศ ที่อาจมีความเสี่ยงหากเกิดเหตุการณ์รุนแรงระหว่างผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งพร้อมจะกลับมาเป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทยได้ทุกเมื่อ

“หากประเมินสถานการณ์เงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ดูเหมือนจะมีสัญญาณเม็ดเงินจะย้ายเข้าภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม TIP (ไทย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์) เนื่องจากปีนี้แกว่งตัวค่อนข้าง Underperform กว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ซึ่งถ้ามองแนวโน้มตอนนี้ ภายใต้สถานการณ์ทิศทางค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่า น่าจะเป็นสัญญาณบวกที่โฟลว์มีโอกาสจะไหลเข้า แต่จะต่อเนื่องมากน้อยแค่ไหนต้องติดตามต่อไป” นายชาญชัยกล่าว

ขณะที่นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า ผลการทดสอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นบวกมากกว่าที่ตลาดประเมินเอาไว้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับขึ้น สะท้อนปัจจัยบวกในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหุ้นของกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและเดินทาง ที่มีความหวังว่าจะสามารถกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ

“กว่าที่วัคซีนจะเริ่มผลิตและแจกจ่ายยังต้องใช้เวลา โดยเราคาดว่าเบื้องต้นจะเป็นการผลิตเพื่อฉีดในประเทศสหรัฐก่อน ตามมาด้วยยุโรป และเอเชียตามลำดับ เพราะฉะนั้น เตือนนักลงทุนให้เผื่อใจไว้ว่า ทั้งโรคระบาดและเศรษฐกิจอาจยังไม่สามารถคลี่คลายได้ในเร็วๆ นี้”

นายพีรพงศ์กล่าว

 

ส่วนนายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) พรินซิเพิล จำกัด ระบุว่า แม้ราคาหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม และสายการบิน จะฟื้นตัวขึ้นหลังข่าวการทดสอบวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แต่ในความเป็นจริงยังต้องใช้เวลา กว่าที่วัคซีนจะสามารถกระจายให้ผู้คนอย่างถ้วนหน้า รวมถึงยอดติดเชื้อรายวันยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงประมาณ 5 แสนวันต่อราย

นอกจากนี้ เริ่มเห็นสัญญาณดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่ปรับตัวลง ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นในระยะถัดไปจะผันผวน และไม่ได้ปรับขึ้นต่อเนื่องจากข่าววัคซีนป้องกันโควิด-19

“เราไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนกมากนัก หลังจากที่ดัชนีปรับขึ้นจากระดับ 1,200 มาอยู่ที่ 1,300 จุด และแนะนำให้ขายทำกำไรออกมาบางส่วน เพราะไม่อยากให้ทุ่มความหวังไปที่วัคซีน ในขณะที่เศรษฐกิจจริงยังไม่ฟื้นตัว” นายวินกล่าว

หรือว่าผลการเลือกตั้งสหรัฐ และข่าวดีเรื่องวัคซีนโควิด เป็น 2 ปัจจัยที่มาช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นไทยให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น หลังจากซมไข้โควิดมานานหลายเดือน