จรัญ พงษ์จีน : “ประยุทธ์” รอด-ไม่รอด คดีบ้านพักในค่าย

จรัญ พงษ์จีน

“ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมตินัดเคาะในคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ซึ่งผลการพิจารณา ศาลอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่า

“คดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน และกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ลงมติและอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟัง ในวันพุธที่ 2 ธันวาคม”

เท้าความตามท้องเรื่อง คดีนี้สืบเนื่องมาจาก “นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ผู้นำฝ่ายค้านและพวก ยื่นร้องกล่าวโทษ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เจตนากระทำความผิดร้ายแรง-เจตนาฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ-ใช้อำนาจมิชอบ ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ป.ป.ช.-มีพฤติกรรมผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อันเป็นผลมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และกล่าวหาว่า “พล.อ.ประยุทธ์” เกษียณอายุจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.มาแล้ว 5 ปี แต่ยังอาศัยอยู่ในบ้านพักหลวงของข้าราชการในค่ายทหาร ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.)

เข้าข่ายจงใจฝ่าฝืนมาตรา 184 และ 186 รัฐมนตรีรับเงินหรือรับผลประโยชน์อื่นใดซึ่งคำนวณมูลค่าแล้วเกิน 3,000 บาทขึ้นไป

วันที่ 2 ธันวาคม หาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยชี้ผิด “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องซาโยนาระ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และต้องถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง หรือต้องเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีด้วย

อีกคำรบที่ “บิ๊กตู่” เผชิญกับวิบากกรรม 6 ปีบนตำแหน่งผู้นำเจอพายุมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยพ่ายต่อโชคชะตา ทุกครั้งมันแค่ลมพัดผ่านยามค่ำคืน ประตูบ้านแค่สั่นเล็กน้อย

ไม่เคยทุกข์เคยร้อนว่าเป็นอย่างไร หัวถึงหมอนนอนหลับสบายแฮได้ตลอดมา

“บิ๊กตู่” ต้นทุนสูง แต้มบุญเหลือเฟือ จึงบริสุทธิ์ดุจหิมะ ผิวไม่เคยถลอก ที่ผ่านมารอดพ้นคดีความในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ และชั้นองค์กรอิสระมาหลายครั้งหลายครา เช่นล่าสุดถูกกล่าวหาว่า หัวหน้า คสช.เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐหรือไม่ ก็รอดพ้นมาอย่างปาฏิหาริย์

“แต่”…ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าและประสบชัยชนะทุกครั้งได้หรอก “ทุกตำนานต้องมีจุดจบ” มีเพียงคุณธรรมเท่านั้นที่ “ไม่มีวันตาย”

ทุกอย่างเป็นสัจธรรม ดำเนินตามกฎ “อนิจจัง” แห่งความไม่เที่ยง จากแรกที่เคยสุขสบายทุกเรื่อง แต่วันหนึ่งทุกอย่างค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย

วันที่ 2 ธันวาคม วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคำร้อง ไม่ว่า “คนข้างไหน-สีอะไร” ฝั่งกองเชียร์ หรือฟากกองแช่ง ต่างพากันลุ้นระทึก “บิ๊กตู่” จะรอดสันดอนหรือไม่ รอดอย่างไร

 

ทีนี้ตามไปดู “ประกาศ ป.ป.ช.ฉบับใหม่” ที่เพิ่งประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 ที่เปรียบประหนึ่งเชือกเส้นเล็กๆ แต่มีความสำคัญ ทำให้เชื่อมโยงถึง ทำเอา “พล.อ.ประยุทธ์” ถึงกับเสียวก้นกบ ประมาทไม่ได้เลย

ในฐานะพนักงานของรัฐ อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 128 มีโทษทางอาญา จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ระบุไว้ชัดว่า ห้ามมิให้เจ้าพนักงานของรัฐผู้ใด รับทรัพย์หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใดนอกเหนือจากทรัพย์สิน หรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ

“เว้นแต่” การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์และจำนวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.กำหนด กล่าวคือ เป็นการรับทรัพย์สินโดยธรรมจรรยา หรือทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าไม่เกิน 3,000 บาท

ความหมายของ “เจ้าพนักงานของรัฐ” ครอบคลุมถึงผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น

ซึ่งก่อนหน้านี้ เคยมีหนังตัวอย่างให้ดูชมมาแล้ว กรณี “นายสมัคร สุนทรเวช” ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยด้วยมติเอกฉันท์ว่า เนื่องจากทำผิด เพราะถือว่าเป็น

“ลูกจ้าง” ดังนั้น จึงเป็นการรับจ้างทำงาน ตามความหมายคำว่า “ลูกจ้าง” ตามนัยแห่งมาตรา 267 ของรัฐธรรมนูญ อันส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายสมัครสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 182 วรรคหนึ่ง (7) แห่งรัฐธรรมนูญ

ปิดตำนานทำกับข้าว ชิมไปบ่นไป “นายสมัคร” ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 24 จอดป้ายประเทศไทยไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551

ในลำดับต่อมา พรรคพลังประชาชน “นอมินี” ของไทยรักไทย สับไพ่ใหม่ ส่ง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” น้องเขย “ทักษิณ ชินวัตร” ขึ้นมารับไม้นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ต่อคิวจาก “สมัคร”

แต่ “นายสมชาย” ก็ไม่รอดสันดอน ถูกต่อจิ๊กซอว์มาจากการที่ กกต.แจกใบแดง “นายยงยุทธ ติยะไพรัช” ส.ส.เชียงราย และกรรมการบริหารพรรคด้วย “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน ตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคคนละ 5 ปี จึงเกิดประชากร “บ้านเลขที่ 109” ตามหลัง “บ้านเลขที่ 111” ไปติดๆ ซึ่ง “นายสมชาย” ถูกสอยพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ต่อคิวจาก “สมัคร” ชนิดเห็นหลังกันไวๆ แบบ “โซเชียล ดิสแทนซิ่ง” ห่างกันไม่กี่ช่วงตัว

แม้สถานการณ์ “สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์” กับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จะต่างกรรมต่างวาระ ข้ามเขตแดนคนละยุคสมัย รัฐธรรมนูญคนละฉบับ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ก็คนละชุด

“บิ๊กตู่” ถนัดตีกอล์ฟ ทำกับข้าวไม่เป็น ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค

แต่บนความต่าง ก็มี “ความเหมือน” แยกไม่ได้คือ “สถานการณ์ทางการเมือง” ที่ดำเนินอยู่ของม็อบเยาวชนปลดแอก หรือม็อบ 3 นิ้ว กับ 3 ข้อเรียกร้อง ร้อนระอุพอๆ กับสถานการณ์ช่วงที่ “สมัคร-สมชาย” ดำรงตำแหน่งนายกฯ

เงื่อนไข “พล.อ.ประยุทธ์” ต้องลาออกตามข้อเรียกร้อง ซึ่งดูแนวโน้มแล้ว บอกได้คำเดียวว่า “ยากมาก”

แต่หากในวันที่ 2 ธันวาคม “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยสถานะความเป็นนายกฯ ของบิ๊กตู่สิ้นสุดลง พ้นสถานะความเป็นนายกฯ

ออกด้วย “ช่องทางพิเศษ” ประตูบานเดียวกับ “สมัคร-สมชาย”

ศึกครั้งนี้ราคาแพง ปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆ จินตนาการไม่ถูก

รู้แต่ว่า “ใหญ่หลวงยิ่งนัก”