รายงานพิเศษ / เช็กเก้าอี้ ‘บิ๊กตู่’ กองหนุนแข็ง-กองทัพนิ่ง สายใย ตท.-วปอ. จับท่าที ‘บิ๊กบี้’ ป้องราชัน เขตพระราชฐาน ห้ามแตะ

รายงานพิเศษ

 

เช็กเก้าอี้ ‘บิ๊กตู่’

กองหนุนแข็ง-กองทัพนิ่ง

สายใย ตท.-วปอ.

จับท่าที ‘บิ๊กบี้’ ป้องราชัน

เขตพระราชฐาน ห้ามแตะ

จากที่เคยถูกมองว่า อาการของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในทางการเมือง เข้าขั้นวิกฤต

จากพลังของการชุมนุมของนักเรียน-นักศึกษาในนามคณะราษฎร ที่มีอย่างต่อเนื่องและเบิ้มๆ เพราะผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก

แต่ที่สุดก็พยายามประคับประคองสถานการณ์เรื่อยมา โดยไม่ยอมลาออกตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม และยื้อเวลาด้วยการยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการตั้งคณะกรรมการปรองดองสมานฉันท์

จากที่เคยเครียด พล.อ.ประยุทธ์ก็ดูผ่อนคลายลง

ทั้งนี้เพราะกองหนุน กองเชียร์ มีความเข้มแข็งขึ้น ประกอบกับบรรดาเสื้อเหลืองได้แสดงพลังกันมากขึ้น ในการปกป้องสถาบัน

โดยเฉพาะเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงและใกล้ชิดมากขึ้นในทุกครั้งที่เสด็จออกตามพระราชกรณียกิจในสถานที่ต่างๆ ที่สร้างความประทับใจให้แก่ประชาชนมาก

ส่งผลให้ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ของฝ่ายรัฐบาลและความมั่นคง ชัดเจนมากขึ้น

จนเป็นที่มาของการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองของสภาความมั่นคงแห่งชาติที่รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีย้ำอีกครั้งว่า ม็อบแผ่วลง และลดน้อยลง

 

แต่ทว่าสำหรับกองทัพแล้วยังไม่วางใจในสถานการณ์ ตราบใดที่ยังคงมีการนัดชุมนุมในทุกสัปดาห์ และมีเป้าหมายเพื่อกดดันให้มีการปฏิรูปสถาบัน โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปที่เขตพระราชฐาน เช่นการชุมนุมเมื่อ 8 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ด้วยเพราะวันนั้น ฝ่ายความมั่นคงประเมินว่า เป้าหมายของคณะราษฎรคือเขตพระราชฐาน ทั้งลานพระราชวังดุสิต หรือพระบรมมหาราชวัง เพื่อนำสารราษฎรไปถวายฎีกา

ทั้งยังมีการปล่อยข่าวว่าผู้ชุมนุมจะพับกระดาษที่เขียนข้อความถึงในหลวงเป็นจรวดเพื่อพุ่งเข้าไปในเขตพระราชฐาน

จึงทำให้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ที่ไม่ได้เป็นแค่ ผบ.ทบ. แต่ยังเป็นผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ 904 (ฉก.ทม.รอ.904) ด้วย ไม่อาจนิ่งเฉย

แม้ว่าจะยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ กทม.ไปแล้ว แต่ยังมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินอยู่

พล.อ.ณรงค์พันธ์จึงตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์ทั้งที่ บก.ทบ. ในการเตรียมกำลังทหารไว้เสริมกำลังตำรวจในการดูแลความสงบเรียบร้อย

ที่สำคัญคือ การเตรียมดูแลเขตพระราชฐาน โดยใช้กำลังทหารคอแดง ฉก.ทม.รอ.904 เตรียมพร้อมไว้ในที่ตั้ง โดยมีวอร์รูมทหารคอแดงอยู่ที่ พล.1 รอ.

และได้ใช้กำลังจากกองพันทหารราบ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) แต่งนอกเครื่องแบบ โดยสวมเสื้อเหลือง กางเกงดำ หรือที่ผู้ชุมนุมเรียกว่า “มินเนี่ยน” ออกมาปฏิบัติหน้าที่ เสริมตำรวจที่เป็นกำลังหลัก เมื่อผู้ชุมนุมมุ่งหน้ามาสนามหลวงและเป้าหมายอยู่ที่สำนักพระราชวัง ในพื้นที่พระบรมมหาราชวัง

ในเวลานั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์กำชับเด็ดขาดว่าจะไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าถึงเขตพระราชฐานได้ โดยให้แค่ 150 เมตรเท่านั้น

จึงสั่งการให้กำลังทหารเสื้อเหลืองออกมาตั้งแนวอยู่หลังแนวตำรวจควบคุมฝูงชน

ไม่ใช่แค่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แนวตั้งรับของฝ่ายตำรวจเท่านั้น แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์หวั่นใจว่าหากถึงเวลาวิกฤตจริง ตำรวจอาจจะไม่สามารถต้านทาน และปล่อยให้ผู้ชุมนุมเข้ามาใกล้พื้นที่เขตพระราชฐาน

แต่สำหรับทหารแล้วจะไม่มีทางปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นได้

แม้ว่ากำลังทหารจะมาแบบมือเปล่าไม่มีอุปกรณ์ป้องกันตัวหรืออุปกรณ์ในการควบคุมฝูงชนใดๆ เลยก็ตาม

นั่นเป็นการสะท้อนว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ไม่วางใจตำรวจเท่าใดนัก

“ผู้ชุมนุมจะมุ่งหน้าไปสู่พระบรมมหาราชวัง ศาลหลักเมือง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และวัดพระแก้ว สิ่งเหล่านี้มีใครประกาศรับผิดชอบความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะผู้ชุมนุมมีคล้ายประทัด และมีผู้ที่พยายามใช้ความรุนแรง ตำรวจเขาก็ต้องระวังป้องกัน ทหารไปช่วยที่หลังแนวตำรวจ หากหลุดออกมา ทหารจะได้ช่วยได้ หากตำรวจปล่อย” พล.อ.ณรงค์พันธ์ระบุ

พล.อ.ณรงค์พันธ์จึงยืนยันว่าทหารจะไม่ยอมให้ผู้ชุมนุมเข้าใกล้เขตพระราชฐานได้ เปรียบเหมือนบ้านของเรา

การออกมาแถลงข่าวถึงการชุมนุม 8 พฤศจิกายนนั้น เป็นการสะท้อนท่าทีที่เข้มข้นและเด็ดขาดของ พล.อ.ณรงค์พันธ์

ในฐานะที่เป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ และเป็น ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ผู้ที่ได้ประกาศว่าจะยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม พร้อมม็อตโต้ พิทักษ์ราชัน ปกป้องประชา รักษาแผ่นดิน

สถานการณ์ความเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปสถาบันส่งผลให้ฝ่ายกองทัพและฝ่ายความมั่นคงต้องเดินเกมรุก หลังจากที่เป็นฝ่ายตั้งรับมานาน

ประกอบกับเป็นช่วงที่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง ได้ลาสิกขาออกมาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มตัวแล้ว และมีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ และบิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นที่ปรึกษา ฉก.ทม.รอ.904

ทั้ง พล.อ.ณรงค์พันธ์ และ พล.อ.เฉลิมพล ไม่ใช่แค่นายทหารคอแดงน้องรักของ พล.อ.อภิรัชต์เท่านั้น

แต่ทั้งคู่ยังคงเป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.59 ด้วยกัน มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก่อนอยู่แล้ว แม้ พล.อ.เฉลิมพลจะอยู่หมู่ไก่ฟ้า ส่วน พล.อ.ณรงค์พันธ์อยู่หมู่กวาง แต่ก็ยิ่งสนิทสนมกัน

ซึ่ง พล.อ.ณรงค์พันธ์นับถือ พล.อ.เฉลิมพล เป็นทั้งผู้บังคับบัญชาและเป็นทั้งรุ่นพี่ ตท.21 ด้วย

 

ไม่แค่นั้น นอกจากสายสัมพันธ์พี่น้องเตรียมทหารแล้ว ในหมู่ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ยังมีความสนิทสนมเพราะ วปอ.คอนเน็กชั่นด้วย

บิ๊กอุ้ย พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผบ.ทร. แม้จะเป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 20 แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.59 กับ พล.อ.เฉลิมพล รุ่นน้องเตรียมทหาร 21

รวมทั้งบิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วย

จึงเรียกได้ว่า ผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดนี้แม้จะต่างรุ่น คือ ตท.20 ตท.21 และ ตท.22 ต่างเหล่า ทบ. ทร. ทอ. แต่มีความกลมเกลียวใกล้ชิดกันอย่างมาก

ท่ามกลางการถูกจับตามองว่าในที่สุดแล้ว สถานการณ์จะพัฒนาไปถึงขั้นใดและยังคงมีกระแสข่าวลือการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นอยู่เสมอ

แต่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ยังคงยืนยันว่าโอกาสในการรัฐประหารไม่ใช่แค่ศูนย์อย่างที่เคยบอกไว้ แต่ยังคงติดลบอยู่ แม้คำพูดที่ว่าติดลบนั้นจะไม่ได้เสียงดังฟังชัดก็ตาม

แต่ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ดูสบายใจ หายเครียด หลังจากที่จมอยู่ในสถานการณ์การชุมนุมมาเป็นแรมเดือน ก็สะท้อนถึงความมั่นใจ

โดยเฉพาะเมื่อพบหน้าผู้บัญชาการเหล่าทัพในการประชุมรับฟังการแถลงแผนของ กอ.รมน. พล.อ.ประยุทธ์ก็เดินเข้าไปตบไหล่เบาๆ ทักทายและเป็นการส่งสัญญาณถึงสายใยพี่น้องเตรียมทหารที่หวังสยบกระแสข่าวปฏิวัติรัฐประหารด้วย

แม้ว่าในเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์จะถูกจับตามองเรื่องศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยกรณีพักอาศัยอยู่ในบ้านพักรับรองในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ (ร.1 ทม.รอ.) อยู่ต่อเนื่อง ตั้งแต่เป็น ผบ.ทบ.จนเป็นนายกฯ ว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ในวันที่ 2 ธันวาคมนี้

ที่เกิดกระแสข่าวลือสะพัด สร้างความหวังให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลที่คิดว่า พล.อ.ประยุทธ์จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกลายเป็นทางออกของประเทศไปโดยอัตโนมัติ

แต่สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์แล้วไม่ได้แสดงทีท่ากังวลใดๆ กับเรื่องนี้ เพราะมั่นใจในการชี้แจงด้วยเอกสารหลักฐานของกองทัพบกที่ทำส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อกุมภาพันธ์ 2563 ตั้งแต่ พล.อ.อภิรัชต์เป็นผู้บัญชาการทหารบก

ทั้งการเปลี่ยนสถานภาพจากบ้านพักสวัสดิการทหารบกเป็นบ้านพักรับรอง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เป็นไปตามระเบียบบ้านพักสวัสดิการกองทัพบก 2548

ทั้งนี้ เพราะตามระเบียบสวัสดิการตามระเบียบกองทัพบก กองทัพบกจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับบ้านพักรับรองในการรับรองอดีตผู้บังคับบัญชา และบุคคลที่ทำประโยชน์ให้กับกองทัพบกและประเทศชาติได้ ไม่ถือว่าเป็นการขัดกันของผลประโยชน์ หรือผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นทั้งอดีตผู้บัญชาการทหารบก และเป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม

ในประเด็นนี้ฝ่ายรัฐบาลและกองทัพจึงไม่ได้มีความเป็นห่วงใดๆ ทั้งสิ้น แม้ว่ากระแสข่าวสะพัดภายนอกจะโหมกระหน่ำว่า พล.อ.ประยุทธ์จะโดนศาลวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะการอยู่บ้านหลวง

สัญญาณหลายอย่างส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์มีความสบายใจและมั่นใจมากขึ้นในการที่จะทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป

จากเดิมที่ก่อนหน้านี้มีความไม่มั่นใจอยู่บ้าง เพราะสัญญาณต่างๆ ยังไม่ชัดเจน

แต่ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์มั่นใจกับอำนาจในมือ ทั้งในรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐ ที่มีบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ ทำหน้าที่แม่ทัพ บริหารจัดการควบคุมดูแลฝ่ายการเมืองให้

ในส่วนของกองทัพ ก็มีผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็นน้องๆ เตรียมทหารที่ยังคงสนับสนุน โดยเฉพาะ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ผบ.ทบ.

และยังมีแม่ทัพต่อ พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ น้องรักสายทหารเสือฯ ที่อยู่ ร.21 รอ. ด้วยกันมา เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คุมขุมกำลังอีกแรงหนึ่ง

จนอาจเรียกได้ว่าการปฏิวัติรัฐประหารแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย

ที่สำคัญก็คือ ยังมี พล.อ.อภิรัชต์ น้องรัก อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่วันนี้มีสถานะเป็นรองเลขาธิการพระราชวัง ก็ยังคงเป็นกองหนุนสำคัญที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์อุ่นใจได้เสมอ

แม้ที่ผ่านมาสถานการณ์อาจตึงเครียด แรงกดดันสูง แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เคยถอดใจ ไม่เคยหวั่นไหว จนที่สุดสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมสัญญาณบางอย่างที่ทำให้มั่นใจมากขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์จึงพร้อมที่จะฝ่ากระแสม็อบ นั่งเก้าอี้นายกฯ เดินหน้าเป็นรัฐบาล จนกว่าภารกิจจะจบสิ้น…ที่ไม่รู้ว่าเมื่อใด

มั่นใจปานนั้น?